กุ่มบก
กุ่มบก
ชื่อสมุนไพร กุ่มบก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักกุ่ม (ภาคเหนือ), ผักก่าม, ก่าม (ภาคอีสาน), กุ่ม (ภาคกลาง , ถะงัน, ทะงัน (เขมร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Crateva adansonii DC.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Crateva adansonii subsp. trifoliata (Roxb.) Jacobs, Crateva guineensis Schumach. & Thonn., Crateva erythrocarpa Gagnep., Crateva laeta DC.
ชื่อสามัญ Caper tree, Temple plant, Sacred barnar.
วงศ์ CAPPARACEAE
ถิ่นกำเนิดกุ่มบก
กุ่มบกเป็นพันธุ์พืชที่เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดในหลายๆ แห่งในทวีปเอเชีย เช่น บริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย และตามเกาะในฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้รวมถึงในออสเตรเลียเป็นต้น สำหรับในประเทศไทย ถือว่ากุ่มบกเป็นผักพื้นบ้านเก่าแก่ที่ชาวไทยคุ้นเคยมาแต่โบราณกาล เพราะมีปรากฏอักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลยที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2416 โดยกล่าวถึงศัพท์เกี่ยวกับต้นกุ่มบก และการใช้กุ่มเป็นผักของคนไทย ในปัจจุบันเราสามารถพบกุ่มบกได้เกือบทั่วทุกภาคของประเทศซึ่งจะพบตามที่ดอนต่างๆ หรือ ตามป่าผสมผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ รวมถึงเขาหินปูน และป่าไผ่ ที่มีความสูงในระดับน้ำทะเลจนถึง 350 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณกุ่มบก
- แก้บำรุงหัวใจ
- ช่วยบำรุงไฟธาตุ
- แก้ไข้
- แก้ปวดท้อง
- แก้ลงท้อง
- แก้แน่นท้อง
- ช่วยขับผายลม
- ช่วยขับลมในลำไส้
- ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ย่อยอาหาร
- แก้บวม
- ช่วยขับปัสสาวะ
- ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย
- ใช้เป็นยาระงับประสาท
- ช่วยรักษานิ่ว
- ใช้ทาแก้โรคผิวหนัง
- ใช้ประคบแก้ปวด
- แก้ปวดศีรษะ
- แก้กลากเกลื้อน
- แก้ตานขโมย
- แก้บวมคันจากพยาธิตัวจี๊ด
- แก้มานกษัยเส้น
- แก้อาการผอมเหลือง
- แก้ริดสีดวงทวาร
- แก้นิ่ว
- ช่วยทำให้ขี้หูแห้งออกมา
- เป็นยาเจริญอาหาร
- แก้ท้องผูก
- ช่วยบรรเทาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา
- ใช้เป็นยาช่วยขับปัสสาวะ
- ช่วยบรรเทาอาการนิ่วในไต
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับลม โดยใช้ใบมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้กลากเกลื้อน โดยใช้ใบสดมาตำให้ละเอียดใช้ทาบริเวณที่เป็น ใช้แก้อาการคัน และบวมที่ผิวหนังจากพยาธิตัวจี๊ด โดยใช้ใบสดบดให้ละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีอาการโดยให้ทำ 3 วันติดต่อกัน ใช้บำรุงเลือด ริดสีดวงทวาร แก้อาการผอมเหลือง แก้นิ่ว โดยการนำแก่นมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้บำรุงธาตุ จับหนอง แก้มานกษัยที่เกิดจากกองลมโดยใช้รากมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้บำรุงหัวใจ บำรุงไฟธาตุ คุมธาตุ ขับลม แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ แก้ไข้ แก้นิ่ว แก้น้ำเหลืองเสีย โดยใช้เปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
ลักษณะทั่วไปของกุ่มบก
กุ่มบกจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 5-10 เมตร แต่อาจ ผลัดใบ สูงได้ถึง 20 เมตร แตกเรือนยอด และกิ่งก้านโปร่ง โดยกิ่งก้านมักคดงอ เปลือกต้นมีสีน้ำตาลอมเทา ผิวค่อนข้างเรียบ หรือ อาจมีรอยแตกตามขวางเนื้อไม้ละเอียดมีสีขาวปนเหลือง ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ ใบเป็นรูปไข่ รูปร่างค่อนข้างกลม กว้าง 2-6 เซนติเมตร ยาว 2-10 เซนติเมตร โคนใบสอบ ส่วนที่อยู่ด้านข้างโคนใบจะเบี้ยว ขอบใบเรียบ ผิวใบมันเป็นสีเขียว เนื้อใบหนานุ่ม แผ่นใบเรียบทั้งสองด้าน มีเส้นแขนงใบ 4-5 คู่ ก้านใบร่วมยาว 7-9 เซนติเมตร ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจุก บริเวณซอกใบใกล้กับปลายยอด กลีบดอกมี 4 กลีบ เป็นสีขาวแล้วจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือ สีชมพูอ่อน กลีบเป็นรูปรีปลายมน โคนสอบเรียว กว้างประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.2-1.8 เซนติเมตร ที่กลีบดอกจะเห็นเส้นคล้ายเส้นใบอย่างชัดเจน และมีกลีบเลี้ยงรูปรี มีความกว้างประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร ก้านดอกมีความยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร โดยมีเกสรตัวผู้สีม่วงอยู่ประมาณ 15-22 อัน ส่วนก้านชูเกสรตัวเมียมีความยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ผลเป็นผลสด รูปทรงกลมแกมไข่ เปลือกแข็ง ขนาด 2-3.5 เซนติเมตร ที่ผิวมีสีน้ำตาลอมแดง ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกมีสีน้ำตาลแดง เมล็ดสุกมีสีตาลแดง เมล็ดรูปไต ผิวเรียบ กว้าง 2 มิลิเมตร ยาว 6 มิลลิเมตร ใน 1 ผลจะมีหลายเมล็ด
การขยายพันธุ์กุ่มบก
กุ่มบกสามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำ สำหรับวิธีการขยายพันธุ์กุ่มบกก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำ ไม้ยืนต้นประเภทอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้กุ่มบกมีการนิยมนำมาเพาะปลูกตามบ้านเรือน หรือ ตามเรือกสวนไร่นามากกว่ากุ่มน้ำเพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่ทนแล้ง และชอบออกในที่ดอนซึ่งต่างจากกุ่มน้ำ