ว่านน้ำ
ว่านน้ำ สรรพคุณและประโยชน์ของว่านน้ำ
ว่านน้ำ ชื่อสามัญ Calamus, Calamus Flargoot, Flag Root, Mytle Grass, Myrtle sedge, Sweet Flag, Sweetflag, Sweet Sedge,
ว่านน้ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acorus calamus L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acorus angustifolius Schott, Acorus aromaticus Gilib., Acorus calamus var. verus L., Acorus terrestris Spreng.) ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ว่านน้ำ (ACORACEAE)
สมุนไพรว่านน้ำ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ว่านน้ำเล็ก ฮางคาวผา (เชียงใหม่), ตะไคร้น้ำ (เพชรบุรี), กะส้มชื่น คาเจี้ยงจี้ ผมผา ส้มชื่น ฮางคาวบ้าน ฮางคาวน้ำ (ภาคเหนือ), ทิสีปุตอ เหล่อโบ่สะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), แป๊ะอะ (ม้ง),ช่านโฟ้ว (เมี่ยน), สำบู่ (ปะหล่อง), จะเคออ้ม ตะไคร้น้ำ (ขมุ). แปะเชียง (จีนแต้จิ๋ว), สุ่ยชังฝู ไป๋ชัง (จีนกลาง) เป็นต้น
ลักษณะของว่านน้ำ
- ต้นว่านน้ำ มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป จัดเป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 50-80 เซนติเมตร และมีเหง้าเจริญไปตามยาวขนานกับพื้นดิน เหง้าเป็นรูปทรงกระบอกค่อนข้างแบน ลักษณะเป็นข้อ ๆ มองเห็นชัด ผิวนอกเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลอมชมพู มีรากฝอยเป็นเส้นเล็กยาวติดอยู่ทั่วไป พันรุงรังไปตามข้อปล้องของเหง้า เนื้อภายในเป็นสีเนื้อแก่ มีกลิ่นหอม รสเผ็ดร้อนฉุนและขม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-10 มิลลิเมตร ขยายพันธุ์โดยวิธีการแยกหน่อ มักพบขึ้นเองตามบริเวณริมหนองน้ำ สระ บ่อ คูคลอง ในที่ที่มีน้ำท่วมขัง หรือที่ชื้นแฉะหรือแหล่งน้ำตื้น
ใบว่านน้ำ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันซ้ายขวาแบบทแยงกัน ใบแตกออกมาจากเหง้าเป็นเส้นตรงและยาว ลักษณะของใบเป็นรูปเรียวแหลม ปลายใบแหลม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 80-110 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ มองเห็นเส้นกลางใบได้ชัดเจน
ดอกว่านน้ำ ออกดอกเป็นช่อ แทงออกมาจากเหง้า ลักษณะของดอกเป็นแท่งทรงกระบอก เป็นสีเหลืองออกเขียว ดอกมีขนาดประมาณ 0.7-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยดอกย่อยเรียงตัวติดกันแน่น ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 6 กลีบ ลักษณะเป็นรูปกลม ปลายกลีบโค้งงอ มีกายใบห่อหุ้ม 1 ใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 50 เซนติเมตร และมีกาบใบหุ้ม ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน เกสรเพศผู้มีประมาณ 6 อัน ก้านเกสรเพศเป็นสีขาว เป็นเส้นแบนยาว และมีอับเรณูเป็นสีเหลือง ส่วนก้านเกสรเพศเมียมี 1 อัน มีรังไข่ลักษณะกลมยาวหรือเป็นรูปกรวย
ผลว่านน้ำ ผลเป็นผลสดขนาดเล็ก ผลมี 2-3 เซลล์ ลักษณะคล้ายลูกข่างหรือปริซึม ปลายบนคล้ายพีรามิด ผลเมื่อสุกจะเป็นสีแดง ภายในมีเมล็ดจำนวนน้อย ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปรี
สรรพคุณของว่านน้ำ
- เหง้าว่านน้ำมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ยาหอม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุน้ำ โดยใช้เหง้าแห้งประมาณ 1-3 กรัม นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มก่อนอาหารเย็น ติดต่อกันจนกว่าธาตุจะปกติ (ราก,เหง้า)
- ใช้เป็นยาขมช่วยทำให้เจริญอาหาร โดยใช้เหง้าแห้งประมาณ 1-3 กรัม (ราก,เหง้า)
- ช่วยบำรุงหัวใจ (ราก)
- ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงประสาท หลอดลม (เหง้า)
- เหง้าใช้เป็นยาระงับประสาท สงบประสาท แก้อาการสะลึมสะลือ มึนงง รักษาอาการลืมง่าย ตกใจง่าย หรือมีอาการตื่นเต้นตกใจกลัวจนสั่น จิตใจปั่นป่วน ให้ใช้เหง้าว่านน้ำแห้ง 10 กรัม, เอี่ยงจี่ 10 กรัม, หกเหล้ง 10 กรัม, เหล่งกุก 10 กรัม, และกระดองส่วนท้องของเต่า 15 กรัม ใช้แบ่งกินครั้งละประมาณ 3-5 กรัม วันละ 3 เวลา (เหง้า)
- รากใช้เป็นยาแก้ Hysteria (โรคประสาทแบบฮีสทีเรีย) และ Neuralgia (อาการปวดตามเส้นประสาท) (ราก)
- ใบสดนำมาตำให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำใช้สุมหัวเด็ก จะช่วยรักษาอาการปวดศีรษะได้ (ใบ) ส่วนรากก็มีสรรพคุณแก้ปวดศีรษะได้เช่นกัน (ราก)
- ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ (ราก,เหง้า)
- เหง้ามีรสขมเผ็ด ใช้แก้โรคลม (เหง้า)
- ใช้รักษาอาการกระจกตาอักเสบ โดยใช้เหง้าแห้งนำมาใส่น้ำ ต้มให้เดือดโดยใช้ไฟอ่อน ๆ เสร็จแล้วเอากากออก เทมาปรับความเป็นกรดและด่าง ให้เป็นกลาง แล้วกรองให้ใส หรือจะใช้เหง้าที่แห้งใส่น้ำแล้วต้ม เทมาปรับความเป็นกรดและด่างให้เป็นกลางด้วยเอทิลแอลกอฮอล์ แล้วกรองให้ใส นำมาบรรจุใส่ภาชนะ แล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อที่มีความดันสูง น้ำมาใช้เป็นยาหยอดตา หรือใช้ล้างตาวันละครั้ง (เหง้า)
- ใช้แก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้เหง้าแห้งนำไปบดให้เป็นผง แล้วนำมาใช้ทา (ราก,เหง้า)
- ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ด้วยการใช้เหง้าแห้งนำไปบดให้เป็นผง แล้วนำมาใช้ทา (เหง้า)
- เหง้านำมาต้มรวมกับขิงและไพลใช้กินเป็นยาแก้ไข้ (เหง้า)
- ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรียหรือไข้จับสั่น (ราก,เหง้า)
- ชาวอินเดียจะฉีดรากเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาเคี้ยวประมาณ 2-3 นาที เป็นยาแก้หวัดและเจ็บคอ (ราก)ส่วนชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน จะใช้ช่อดอกและยอดอ่อน นำมารับประทานสดเพื่อรักษาอาการหวัด (ยอดอ่อน,ดอก)
- ใช้รักษาอาการไอ ด้วยการใช้ชิ้นเล็ก ๆ ของว่านน้ำแห้ง นำมาอมเป็นยาแก้ไอ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมระเหยเวลาหายใจอีกด้วย (ราก,เหง้า)
- รากมีสรรพคุณช่วยแก้หืด (ราก)
- เหง้ามีรสขมเผ็ด มีกลิ่นหอม เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ปอด และม้าม ใช้เป็นช่วยขับเสมหะ ละลายเสมหะ แก้เสมหะอุดตันในทางเดินหายใจ (ราก,เหง้า)
- ผงจากรากหรือเหง้าถ้ากินมากกว่าครั้งละ 2 กรัม จะทำให้อาเจียน อาจนำมาใช้ประโยชน์ในกรณีที่ผู้ป่วยกินสารพิษเข้าไป และต้องการจับสารพิษออกจากทางเดินอาหารด้วยการทำให้อาเจียน (เหง้า)
- ช่วยแก้หลอดลมอักเสบ หรือหวัดลงคอ (ราก,เหง้า)
- รากใช้ฝนกับเหล้าทาหน้าอกเด็กเพื่อเป็นยาดูดพิษ แก้หลอดลม และปอดอักเสบ (ราก)
- ช่วยแก้ลมจุกแน่นในทรวงอก และแก้ลมที่อยู่ในท้องแต่อยู่นอกกระเพาะและลำไส้ (เหง้า)
- ใช้เป็นยาขับลมในท้อง แก้ลมขึ้น แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด อาหารไม่ย่อย ด้วยการใช้เหง้าประมาณ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือใช้เข้ากับตำรายาอื่น ด้วยการใช้เหง้าว่านน้ำแห้ง 10 กรัม, หัวแห้วหมู 15 กรัม, เมล็ดแก่ของหัวผักกาดขาว 10 กรัม และซิ่งเข็ก 10กรัม นำมาผสมกันแล้วนำไปต้มเป็นยากิน (ราก,เหง้า) ส่วนชาวปะหล่องจะรากและเหง้า จิ้มกับเกลือใช้รับปะทานสดเพื่อรักษาอาการปวดท้อง หรือนำมาซอยบาง ๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงใช้ร่วมกับปูเลย นำมากินแล้วดื่มน้ำตาม จะช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ (ราก,เหง้า)
- รากมีสรรพคุณเป็นยาระบาย (ราก)
- ช่วยแก้โรคกระเพาะอาหาร (เหง้า)
- ตำรายาไทยใช้เหง้าเป็นยาแก้ปวดท้อง ส่วนรากใช้รับประทานแต่น้อยเป็นยาแก้ปวดท้อง (ราก,เหง้า) แก้ลงท้อง (ท้องเดิน ท้องเสีย) (ราก)ส่วนตำรับยาแก้โรคลงท้องปวดท้องของเด็ก ให้ใช้รากนำมาเผาให้เป็นถ่าน ทำเป็นผงรับประทานมื้อละ 0.5-1.5 กรัม (ราก)
- ช่วยรักษาโรคบิด บิดในเด็ก (คือมูกเลือด) แก้ท้องเสีย ด้วยการใช้เหง้าแห้ง นำมาบดให้เป็นผง ใช้กินกับน้ำต้มสุก (ที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้ว) วันละ 2 เวลา (ราก,เหง้า)
- ชาวม้งจะใช้ทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มผสมกับหญ้าปันยอด และหญ้างวงช้าง เป็นยาแก้ปวดท้องที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ ส่วนชาวปะหล่องจะนำรากและเหง้ามาซอยบาง ๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงใช้ร่วมกับปูเลย นำมากินแล้วดื่มน้ำตาม ก็เป็นยาแก้ปวดท้องจากอาหารเป็นพิษได้เช่นกัน (ราก,เหง้า,ทั้งต้น)
- ช่วยรักษาอาการลำไส้อักเสบ และโรคบิดแบคทีเรีย ด้วยการใช้รากสด นำมาหั่นให้เป็นแผ่น แล้วนำไปตากแห้ง บดให้เป็นผงและบรรจุแคปซูลประมาณ 0.3 กรัม ใช้กินกับน้ำอุ่น แต่ถ้าใช้ต้มกินจะมีอาการอึดอัดไม่สบายใจ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ระคายเคืองในกระเพาะอาหาร (ราก)
- ใช้เป็นยาขับพยาธิ ด้วยการใช้เหง้าแห้งประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาบดให้เป็นผงบรรจุในแคปซูลกิน (เหง้า)
- ช่วยขับปัสสาวะ (เหง้า)
- ช่วยขับระดูของสตรี (เหง้า)
- รากนำมาเผาให้เป็นถ่านใช้รับประทานเป็นยาถอนพิษสลอด โดยให้รับประทานมื้อละ 0.5-1.5 กรัม (ราก)
- ใช้รักษาแผลมีหนอง (เหง้า)
- เหง้าใช้ภายนอกเป็นยาแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ฝีหนอง (เหง้า) เหง้าใช้ผสมกับชุมเห็ดเทศ ใช้ทาแก้โรคผิวหนัง (เหง้า)[4]ส่วนรากก็มีสรรพคุณแก้โรคผิวหนังได้เช่นกัน (ราก)
- ใช้รักษาอาการอักเสบเรื้อรังอย่างได้ผล โดยใช้ผงจากรากประมาณ 0.3 กรัม นำมาบรรจุใส่ในแคปซูล ใช้กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2-3 เวลา หรือจะใช้ฉีดเข้ากล้าม จะเห็นผลดีกว่าแบบกิน และในระยะยาวถ้าใช้ยากินร่วมกับยาอื่น ๆ อีก จะได้ผลที่ดีกว่า แต่เมื่อกินยาเข้าไปแล้วจะมีอาการข้างเคียง คือ รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ คลื่นไส้อาเจียน มีอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน แต่เมื่อหยุดใช้ยา อาการเหล่านี้ก็จะหายไป (ราก)
- สำหรับเด็กที่เป็นผื่นคันตามซอกก้นและซอกขา ให้ใช้เหง้าแห้ง นำมาต้มเอาแต่น้ำอุ่น ๆ ใช้ชะล้างบริเวณที่เป็นผื่น (เหง้า)
- ใช้เป็นยาพอกแก้อาการปวดตามข้อและตามกล้ามเนื้อ แก้ข้อกระดูกหักแพลง (ราก,เหง้า) ส่วนใบก็ใช้เป็นยาพอกแก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อได้เช่นกัน (ใบ)
- ชาวขมุจะใช้ทั้งต้นนำต้มดื่มแก้อาการปวดเมื่อย (ทั้งต้น)
- รากใช้เป็นยาแก้เส้นกระตุก (ราก) แก้ชัก (น้ำมันหอมระเหยจากต้น)
- ชาวเมี่ยนจะใช้ใบนำมาต้มกับน้ำให้สตรีหลังคลอดที่อยู่ไฟอาบ (ใบ)
- ตำรายาไทยแผนโบราณ ว่านน้ำจัดอยู่ใน "พิกัดจตุกาลธาตุ" ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยเหง้าว่านน้ำ รากแคแตร รากนมสวรรค์ และรากเจตมูลเพลิงแดง มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ แก้ไข้ แก้เสมหะ แก้ลม แก้โลหิตในท้อง แก้อาการจุกเสียด (เหง้า)
- ในตำรับ "ยาประสะกานพลู" จะมีส่วนประกอบของเหง้าว่านน้ำอยู่ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง แก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย เนื่องจากธาตุไม่ปกติ (เหง้า)[4]
- ว่านน้ำยังประกฎอยู่ในตำรับ "ยาประสะไพล" (ยารักษากลุ่มอาการทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา) ซึ่งมีเหง้าว่านน้ำเป็นส่วนประกอบร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ มีสรรพคุณช่วยแก้ระดูที่มาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่าปกติ และช่วยขับน้ำคาวปลาในสตรีหลังการคลอดบุตร (เหง้า)
ประโยชน์ของว่านน้ำ
- ชาวเมี่ยนจะใช้ผลอ่อนนำมารับประทานร่วมกับลาบ
- ช่อดอกอ่อน ๆ จะมีรสหวาน เด็กชอบกิน ส่วนรากอ่อนเด็กในประเทศเนเธอร์แลนด์จะชอบนำมาเคี้ยวเล่นเป็นหมากฝรั่ง
- ชาวปะหล่องจะใช้รากนำมาเป่าคาถา แล้วนำไปถูกตัวผู้ที่โดนผีเข้า เพื่อไล่ผี และใช้เป็นยาประจำบ้านที่นิยมใช้กันทั่วไป
- เหง้าว่านน้ำสามารถนำมาใช้ไล่ยุงและแมลง ช่วยป้องกันแมลงมากัดกินข้าว และเสื้อผ้าได้ และยังนำมาบดให้เป็นผงใช้โรยรอบ ๆ ต้นไม้ที่ปลูก เพื่อเป็นยาฆ่าปลวกที่ผิวดินและป้องกันต้นไม้ สำหรับสูตรไล่ยุง ให้ใช้เหง้าสดนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ โขลกผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 : 1 แล้วกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมาใช้ทาผิวหนัง ส่วนรากใช้เป็นยาเบื่อแมลงต่าง ๆ เช่น แมลงวัน
- เหง้าสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่นจะได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.17% สามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอางประเภทสบู่ ผงซักฟอก น้ำหอม ครีม และโลชั่นต่าง ๆ ได้
- มีบ้างที่นำว่านน้ำปลูกไว้เป็นไม้ประดับ