จันทน์แดง
จันทน์แดง
ชื่อสมุนไพร จันทน์แดง
ชื่ออื่น ๆ / ชื่อท้องถิ่น จันผา (ภาคเหนือ), ลักกะจันทน์ ,ลักกะจั่น (ภาคกลาง), จันทน์แดง (สุราษฎร์ธานี,ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena loureiroi Gagnep.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Dracaena cochinchinensis (Lour.) S.C.Chen., Draco saposchnikowii Regel.
วงศ์ Dracaenaceae
ถิ่นกำเนิดจันทร์แดง
จันทน์แดงเป็นไม้ป่าชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ซึ่งในธรรมชาติ จันทน์แดงจะพบได้ตามภูเขาสูงหรือเกาะแก่งกลางทะเลที่ห่างไกลจากฝั่ง รวมไปถึงภูเขาหินปูนสูง ๆ ที่มีแสงแดดจัด ๆ และมักขึ้น ในสภาพของดินที่เป็นดินปนทราย หรือ หินที่มีการระบายน้ำได้ดี และมีความชื้นปานกลาง โดยมักพบมากในภูเขาหินปูนในแถบภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่,เชียงราย,แม่ฮ่องสอน,ลำพูน ฯลฯ และรวมไปถึงตามเกาะต่าง ๆ ทางภาคใต้ ในปัจจุบันจันทน์แดงจัดเป็นพืชหวงห้ามตามกฎหมายของไทยอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปจันทร์แดง
จันทน์แดงจัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง หรือเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 1.5-4 เมตร (ต้นโตเต็มที่อาจมีความสูงถึง 17 เมตร) เรือนยอดเป็นรูปทรงไข่ อาจมีเรือนยอดได้ถึง 100 ยอด เมื่อต้นโตขึ้นจะแผ่กว้าง ลำต้นตั้งตรง กลม มีแผลใบเป็นร่องขวางคล้ายข้อถี่ ๆ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมสีเทา แตกเป็นร่องตามยาว ไม่มีกิ่งก้าน ใบจะออกตามลำต้น ส่วนแก่นไม้ด้านในเป็นสีแดง ต้นเมื่อมีอายุมากขึ้นแก่นจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง เราจะเรียกแก่นสีแดงว่า “จันทน์แดง” เมื่อแก่นเป็นสีแดงเต็มต้น ต้นก็จะค่อย ๆ โทรมและตายลงใบเป็นเดี่ยว เรียงสลับถี่ที่ปลายยอด รูปใบแคบเรียวยาว ปลายแหลม กว้าง 4-5 เซนติเมตร ยาว 45-80 เซนติเมตร ฐานใบจะโอบคลุมลำต้น ไม่มีก้านใบ เนื้อใบหนา ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อห้อยเป็นพวงขนาดใหญ่ตามซอกใบ และปลายยอด โค้งห้อยลง ช่อยาวประมาณ 45-100 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมากมายหลายพันดอก ดอกขนาดเล็กสีขาวครีม หรือเขียวอมเหลือง กลางดอกมีจุดสีแดงสด กลีบดอก 6 กลีบ ขนาดดอก 0.7-1 เซนติเมตร เกสรตัวผู้ 6 อัน ก้านเกสรกว้างเท่ากับอับเรณู ก้านเกสรตัวเมียปลายแยก 3 พลู ชั้นกลีบเลี้ยง เป็นหลอด ปลายกลีบแยกเป็นพลูแคบ ๆ 6 พลู ไม่ซ้อนกัน ผลเป็นช่อพวงโต ผลมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร รูปทรงกลม สีน้ำตาลอมเขียว ผิวผลเรียบ มักจะมี 1 เมล็ด เมื่อสุกมีสีแดงคล้ำ ออกดอกราวเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม
การขยายพันธุ์จันทร์แดง
จันทน์แดงสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธีคือ การปักชำ และ การเพาะเมล็ด ซึ่ง การขยายพันธุ์จันทน์แดง ในสมัยก่อนนิยมใช้วิธีการปักชำโดยการตัดหน่อหรือกิ่งของจันทน์แดง จากต้นเดิมแล้วนำมาปักชำ ในกระบะเพาะชำ หรือจะใช้วิธีการหักต้นจันทน์แดง ไปเพาะชำ หรือปักลงในแปลงปลูกโดยตรง จันทน์แดง ก็สามารถจะเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ได้ แต่ในปัจจุบันจันทน์แดงเป็นไม้หวงห้ามและมักจะขึ้นในป่าสงวนหรือเขตวนอุทยาน ซึ่งหากไปขุดเอามาก็จะผิดกฎหมาย จึงทำให้เกิดการทดลองนำเมล็ดที่สุกของจันทน์แดงมาเพาะขยายพันธุ์ขึ้น และก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ เป็นที่นิยมในการขยายพันธุ์จันทน์แดงในปัจจุบัน ส่วนวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกจันทน์แดงมีดังนี้ หลังจากเก็บเมล็ดพันธุ์จันทร์ผาสุกแล้วให้นำเมล็ด จันทน์แดงที่สุก มาล้างทำความสะอาด แล้วนำไปเพาะในวัสดุเพาะชำ ซึ่งจะจัดทำเป็นแปลงขนาดพอเหมาะกับจำนวนเมล็ดพันธุ์ที่เรามีโดยใช้วัสดุเพาะสำคัญ ที่มีส่วนผสม คือ ทราย:แกลบดำ = 1:1 แล้วนำเมล็ดพันธุ์จันทน์แดงมาหว่าน จากนั้นกลบเมล็ดจันทน์แดง ด้วยวัสดุเพาะชำเล็กน้อยพอมิดเมล็ดแล้วรดน้ำ ให้หมั่นรดน้ำ นานประมาณเดือนเศษ เมล็ดจันทน์แดงก็จะแตกให้ต้นใหม่ พอต้นจันทน์แดงขึ้นสูงประมาณ 3-4 นิ้ว ก็แสดงว่าต้นจันทน์แดง พร้อมที่จะนำไปแยกปลูกในแปลงที่เตรียม ไว้ต่อไป ส่วนในแปลงปลูกนั้น ก็จะเตรียมดินธรรมดา แล้ววางระยะปลูกให้ต้นห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร แล้วดูแลเหมือนการปลูกพืชทั่ว ๆ ไป (ข้อแนะนำ) โดยธรรมชาติจันทน์ผาเป็นพันธุ์ไม้ที่สามารถขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืชโดยทั่วไป เช่น ตามหน้าผาสูงชัน ระบบรากดีมาก ไม่ควรปลูกใกล้ต้นไม้ขนาดเล็ก จันทน์ผาเป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตช้า ไม่ค่อยมีการแตกกิ่งก้านสาขา ไม่จำเป็นไม่ควรตัดแต่ง
สรรพคุณของจันทร์แดง
ต้นจันผาเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม อีกทั้งดอกยังมีกลิ่นหอม จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร ตามสนามหญ้า สวนหย่อม ตามสระว่ายน้ำ ในส่วนของลำต้นที่เกิดบาดแผลนานเข้าจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงน้ำยาอุทัยได้ ส่วนสรรพคุณทางยานั้นตามตำรายาไทยระบุว่า ใช้ แก่น ที่มีเชื้อราลง ที่ทำให้แก่นมีสีแดง แก้พิษไข้ภายนอกและภายใน แก้ไข้ทุกชนิด แก้ไข้อันเกิดจากซางและดี แก้ซางเด็ก แก้กระสับกระส่าย แก้ร้อนดับพิษไข้ทุกชนิดแก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดความร้อน ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้เหงื่อตก กระสับกระส่าย แก้ไออันเกิดจากซางและดี แก้ไข้เพื่อดีพิการ บำรุงหัวใจ แก้พิษฝีที่มีอาการอักเสบและปวดบวม แก้บาดแผล แก้เลือดออกตามไรฟัน ฝนทาแก้ฟกบวม แก้ฝี รักษาดีซ่าน ช่วยแก้อาจมไม่ปกติ แก้อาการปวดศีรษะ ช่วยแก้ซาง ช่วยแก้ดีพิการ แก้น้ำดีพิการ
นอกจากนี้ยัง มีการใช้จันทน์แดงใน “พิกัดเบญจโลธิกะ”คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีคุณทำให้ชื่นใจ 5 อย่าง มี แก่นจันทน์ชะมด ต้นเนระพูสี ต้นมหาสะดำ แก่นจันทน์ขาว และแก่นจันทน์แดง สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อดี แก้รัตตะปิตตะโรค แก้ลมวิงเวียน กล่อมพิษทั้งปวง และมีการใช้ใน “พิกัดจันทน์ทั้ง 5 “ คือการจำกัดจำนวนแก่นไม้จันทน์ 5 อย่าง มี แก่นจันทน์ชะมด แก่นจันทน์เทศ แก่นจันทน์ทนา แก่นจันทน์ขาว และแก่นจันทน์แดง สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อโลหิตและดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงตับปอดหัวใจ แก้พยาธิบาดแผล
ส่วนตำรับยาพระโอสถพระนารายณ์: ปรากฏตำรับ “มโหสถธิจันทน์” ประกอบด้วย จันทน์ทั้ง 2 (จันทน์แดงและจันทน์ขาว) ร่วมกับสมุนไพรอื่นอีก 13 ชนิด สรรพคุณแก้ไข้ทั้งปวง ที่มีอาการตัวร้อน อาเจียนร่วมด้วยก็ได้
และในปัจจุบันใน บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้จันทน์แดงในยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” และตำรับ ”ยาหอมนวโกฐ” มีส่วนประกอบของจันทน์แดง ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน แก้ลมจุกแน่นในท้อง และยาแก้ไข้ปรากฏตำรับ “ยาจันทน์ลีลา” มีส่วนประกอบของจันทน์แดงร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ ใช้บรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู “ตำรับยาเขียวหอม” บรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด พิษสุกใส (บรรเทาอาการไข้จากหัดและสุกใส) ส่วนสรรพคุณในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีผลการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดจากส่วนลำต้นของจันทน์ผามีฤทธิ์ลดอาการปวดและอาการไข้ในสัตว์ทดลอง และสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดที (Jurkat cell) ได้อีกด้วย สำหรับสารสกัดจากส่วนแก่นของลำต้นมีสารยับยั้ง ไชโคลออกซิเจนเนส-2 (cyclooxygenase-2) ซึ่งใช้บรรเทาอาการปวดและอักเสบ และยังพบฤทธิ์ Ani-HIV 1 integrase activity จากสารสกัดส่วนนี้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันรายงานวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ของสารสกัดจากจันทน์ผายังมีไม่มากนัก รวมถึงขาดการศึกษาวิจัยทางคลินิก ดังนั้นจึงควรใช้จันทน์แดงอย่างระมัดระวัง