• product
  • service2
  • กองทุน
  • coffee-banner
  • scb banner11

ข่าวประชาสัมพันธ์

สินค้าและโปรโมชั่น

จันทน์เทศ

จันทน์เทศ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นจันทน์เทศ ลูกจันทน์

จันทน์เทศ

จันทน์เทศ ชื่อสามัญ Nutmeg

จันทน์เทศ ชื่อวิทยาศาสตร์ Myristica fragrans Houtt. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Myristica officinalis L. f., Myristica aromatica Lam., Myristica moschata Thunb.) จัดอยู่ในวงศ์จันทน์เทศ (MYRISTICACEAE)

สมุนไพรจันทน์เทศ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จันทน์บ้าน (ภาคเหนือ, เงี้ยว-ภาคเหนือ), โย่วโต้วโค่ว โร่วโต้วโค่ว (จีนกลาง), เหน็กเต่าโข่ว (จีนแต้จิ๋ว) ปาลา (มาเลเซีย) เป็นต้น

ลักษณะของจันทน์เทศ

  • ต้นจันทน์เทศ มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะโมลุกกะ ประเทศอินโดนีเซีย[7] โดยจัดเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 5-18 เมตร เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีเทาอมดำ เนื้อไม้สีนวลหอมเพราะมีน้ำมันหอมระเหย โดยต้นจันทน์เทศสามารถขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะกับการเจริญเติบโตคือดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุสูง โดยจะเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้นโดยเฉพาะทางภาคตะวันออกและทางภาคใต้ของไทย สามารถขึ้นได้ในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร และนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ในปัจจุบันพบว่ามีการปลูกทั่วไปในเขตเมืองร้อน ในประเทศไทยจะพบได้มากทางภาคใต้

ต้นจันทน์เทศ

บจันทน์เทศ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เนื้อใบแข็ง หลังใบเรียบเป็นมันและเป็นสีเขียวอมสีเหลืองอ่อน ส่วนท้องใบเรียบและเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนก้านใบยาวประมาณ 6-12 มิลลิเมตร

ใบจันทน์เทศ

ดอกจันทน์เทศ ออกดอกเป็นช่อ ช่อละประมาณ 2-3 ดอก หรือออกเป็นดอกเดี่ยว โดยจะออกตามซอกใบ ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน กลีบดอกเชื่อมติดกัน ดอกเป็นรูปคนโทคว่ำ ปลายกลีบแยกออกเป็น 4 แฉกแหลม ดอกเป็นแบบแยกเพศกันอยู่คนละต้น ช่อดอกเพศผู้ยาวประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ดอกเป็นสีเหลืองอมขาว ลักษณะเป็นรูปไข่กลมรี ยาวประมาณ 6 มิลลิเมตรส่วนอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่า ดอกเพศผู้จะเกิดเป็นกลุ่ม ๆ ส่วนดอกเพศเมียจะเกิดเป็นดอกเดี่ยว และดอกเพศเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ โดยต้นตัวเมียเท่านั้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ส่วนต้นเพศผู้จะปลูกไว้เพื่อผสมเกสรกับต้นตัวเมียเท่านั้น โดยมักจะปลูกต้นตัวผู้และต้นตัวเมียในอัตราส่วน 1 : 10 เท่านั้น

ดอกจันทน์เทศ

ผลจันทน์เทศ ผลเป็นผลสด ค่อนข้างฉ่ำน้ำ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงค่อนข้างกลม รูปร่างคล้ายกับลูกสาลี่ ยาวประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร เปลือกผลเรียบเป็นสีเหลืองนวล สีเหลืองอ่อน หรือสีแดงอ่อน เมื่อผลแก่แตกอ้าออกเป็น 2 ซีก ภายในผลมีเมล็ดลักษณะกลม ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร เมล็ดเป็นสีน้ำตาล เนื้อและเปลือกแข็ง มีจำนวน 1 เมล็ดต่อผล

ผลจันทน์เทศ

เมล็ดจันทน์เทศ โดยทั่วไปแล้วเราจะเรียกเมล็ดว่า "ลูกจันทน์" (Nutmeg) และเมล็ดจะมีเยื่อหุ้มหรือรกหุ้มเมล็ดสีแดงส้ม มีกลิ่นหอม ซึ่งเราจะเรียกรกหุ้มเมล็ดว่า "ดอกจันทน์" (Mace) โดยมีลักษณะเป็นริ้วสีแดงจัด รูปร่างคล้ายร่างแห เป็นแผ่นบางมีหลายแฉกหุ้มเมล็ด โดยจะรัดติดแน่นอยู่กับเมล็ด เมื่อนำมาแกะแยกออกจากเมล็ด รกที่แยกออกมาสด ๆ จะมีสีแดงสด และเมื่อทำให้แห้งสีของรกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนหรือเป็นสีเนื้อ ผิวเรียบและเปราะ มีความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตรและมีความหนาประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม รสขมฝาดและเผ็ดร้อนรูปจันทน์เทศ

สรรพคุณของจันทน์เทศ

  1. ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) และลูกจันทน์ (เมล็ด) มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอม เป็นยาร้อนเล็กน้อย โดยออกฤทธิ์ต่อลำไส้และม้าม ใช้เป็นยาทำให้ธาตุและร่างกายอบอุ่น (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  2. ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย แก้ธาตุอ่อน (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  3. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด), ลูกจันทน์ (เมล็ด)) ส่วนตำรับยาจีนระบุว่าให้ใช้จันทน์เทศที่เป็นยาแห้ง 10 กรัม, เนื้อหมากแห้ง 10 กรัม, ดอกคังวู้ 15 กรัม นำมาบดเป็นผง แล้วทำเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ใช้รับประทานครั้งละ 10-20 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
  4. ลูกจันทน์ (เมล็ด) มีรสหอมออกฝาด เป็นยาบำรุงโลหิต (ลูกจันทน์ (เมล็ด)) ส่วนอีกตำราหนึ่งก็ระบุว่าดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) ก็มีสรรพคุณบำรุงโลหิตเช่นกัน (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  5. ช่วยกระจายเลือดลม (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  6. ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) มีรสเผ็ดร้อน เป็นยาบำรุงกำลัง (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) ส่วนอีกตำราหนึ่งก็ระบุว่าลูกจันทน์ (เมล็ด) ก็มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลังเช่นกัน (ลูกจันทน์ (เมล็ด)
  7. ช่วยบำรุงหัวใจ (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  8. ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้อาการเบื่ออาหาร (ลูกจันทน์ (เมล็ด) บ้างระบุว่ารกหุ้มเมล็ดก็ช่วยทำให้เจริญอาหารเช่นกัน (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  9. ลูกจันทน์ช่วยทำให้นอนหลับได้และนอนหลับสบาย (ลูกจันทน์ (เมล็ด)
  10. ช่วยแก้อาการหอบหืด (เข้าใจว่าต้องใช้ผสมกับตัวยาอื่นด้วย) (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  1. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  2. ช่วยแก้ดีซ่าน (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  3. แก่นจันทน์เทศเป็นยาลดไข้ แก้ไข้ แก้ไข้ดีเดือด ไข้ที่เกิดจากไวรัส (แก่น)บ้างระบุว่าลูกจันทน์ (เมล็ด) หรือดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) ก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้เช่นกัน
  4. ช่วยแก้อาการร้อนใน ช่วยทำให้ชุ่มคอ แก้อาการกระหายน้ำ (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  5. ช่วยแก้อาการกระสับกระส่าย ตาลอย (แก่น)
  6. ช่วยแก้เลือดกำเดาไหลออก (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  7. ช่วยขับเสมหะ (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  8. ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))[ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน อันเกิดจากธาตุไม่ปกติ โดยใช้ดอกจันทน์ (รก) ประมาณ 3-5 อัน นำมาต้มกับน้ำพอประมาณ แล้วเคี่ยวจนเหลือ 1 ใน 3 ใช้ดื่มเป็นยา (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  9. ช่วยแก้อาการสะอึก (ผล, ลูกจันทน์ (เมล็ด))
  10. ช่วยแก้ลม ขับลม โดยใช้ดอกจันทน์ (รก) นำมาบดให้เป็นผงละเอียด ใช้ชงกับน้ำดื่มครั้งเดียว วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 2-3 วัน (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด), ลูกจันทน์ (เมล็ด), ผล, เนื้อผล, ราก)
  11. ช่วยแก้ลมจุกเสียดแน่นท้อง (ลูกจันทน์ (เมล็ด) ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  12. ช่วยในการย่อยอาหาร (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  13. ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยใช้ดอกจันทน์ (รก) นำมาบดให้เป็นผงละเอียด ใช้ชงกับน้ำดื่มครั้งเดียว วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 2-3 วัน (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  14. ช่วยแก้อาการท้องเสียอันเนื่องมาจากธาตุเย็นพร่อง (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  15. ตามตำราการแพทย์แผนจีน ลูกจันทน์มีรสเผ็ดและอุ่น มีฤทธิ์ให้ความอบอุ่นแก่กระเพาะอาหาร ทำให้ชี่หมุนเวียนได้ดี ช่วยแก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ช่วยระงับอาการท้องร่วง แก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง อันเนื่องมาจากม้ามและไตพร่องและเย็นเกินไป และมีฤทธิ์ในการสมานลำไส้ (ลูกจันทน์ (เมล็ด)
  16. เปลือกเมล็ดมีรสฝาดมันหอม ช่วยแก้ท้องขึ้น แก้อาการปวดท้อง (เปลือกเมล็ด)
  17. ช่วยแก้อาการท้องร่วง (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด), ลูกจันทน์ (เมล็ด))
  18. ช่วยแก้บิด (เนื้อผล) แก้บิดมูกเลือด (ลูกจันทน์ (เมล็ด))
  19. ใช้เป็นยาสมานลำไส้ กระเพาะและลำไส้ไม่มีแรง หรือขับถ่ายบ่อย ให้ใช้ลูกจันทน์ 1 ลูกและยูเฮีย 5 กรัมบดเป็นผง ใช้รับประทานครั้งละ 3 กรัม ถ้าเป็นเด็กให้รับประทานครั้งละ 1 กรัม (ลูกจันทน์ (เมล็ด))
  20. ช่วยแก้อาการท้องมาน บวมน้ำ โดยในตำรับยาจีนระบุว่าให้ใช้จันทน์เทศที่เป็นยาแห้ง 10 กรัม, เนื้อหมากแห้ง 10 กรัม, ดอกคังวู้ 15 กรัม นำมาบดเป็นผง แล้วทำเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ใช้รับประทานครั้งละ 10-20 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
  21. ช่วยแก้อาการปวดมดลูก (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด), ลูกจันทน์ (เมล็ด))
  22. ช่วยในการคุมกำเนิด (ผล, ลูกจันทน์ (เมล็ด))
  23. แก่นช่วยบำรุงตับและปอด (แก่น) บ้างระบุว่าเมล็ดและรกก็มีสรรพคุณบำรุงปอดและตับเช่นกัน (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  24. ช่วยแก้ตับพิการ (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  25. ช่วยบำรุงน้ำดี (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  26. ช่วยรักษาม้ามหรือไตพิการ ด้วยการใช้ลูกจันทน์หรือดอกจันทน์, ขิงสด 8 กรัม, พุทราจีน 8 ผล, โป๋วกุ๊กจี 10 กรัม, อู่เว้ยจื่อ 10 กรัม, อู๋จูหวี 10 กรัม โดยนำทั้งหมดมารวมกันแล้วต้มกับน้ำเป็นยารับประทาน (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  27. ช่วยสมานบาดแผลภายใน (เปลือกเมล็ด)
  28. ช่วยแก้ผื่นคัน (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  29. ช่วยบำรุงผิวหนัง บำรุงผิวหนังให้สวยงาม (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))ช่วยบำรุงผิวเนื้อให้เจริญ (ลูกจันทน์ (เมล็ด), ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  30. น้ำมันระเหยง่ายใช้เป็นส่วนผสมของขี้ผึ้งที่นำมาใช้ทาระงับอาการปวด ใช้เป็นยาขับประจำเดือน ทำให้แท้ง และทำให้ประสาทหลอน ส่วนในประเทศอินโดนีเซียใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย แก้อาการปวดข้อ กระดูก
  31. ตามตำราเภสัชกรรมล้านนา จะใช้จันทน์เทศเป็นส่วนประกอบในตำรับยามะเร็งครุดและยาเจ็บหัว
  32. ผลจันทน์เทศจัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดตรีพิษจักร" ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยตัวยา 3 ชนิด ได้แก่ ผลจันทน์เทศ กานพลู และผลผักชีล้อม โดยเป็นตำรับยาที่ช่วยบำรุงโลหิต แก้ธาตุพิการ แก้พิษเลือด แก้ลม (ผล)
  33. ผลจันทน์เทศจัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดตรีคันธวาต" ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยตัวยา 3 ชนิด ได้แก่ ผลจันทน์เทศ กานพลู และผลเร่วใหญ่ โดยเป็นตำรับยาที่แก้ธาตุพิการ แก้ไข้อันเกิดแต่ดี แต่แก้อาการจุกเสียด (ผล)
  34. ดอกจันทน์มีปรากฏอยู่ในตำรับ "ยาหอมเทพจิตร" และตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีส่วนประกอบของดอกจันทน์ (รก) ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ โดยเป็นตำรับยาที่ช่วยแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย มีอาการใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน และช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด))
  35. ดอกจันทน์ยังปรากฏอยู่ในตำรับ "ยาธาตุบรรจบ" ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีส่วนประกอบของดอกจันทน์ (รก) ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ โดยเป็นตำรับยาที่ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด)
  36. แก่นจันทน์เทศจัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดจันทน์ทั้งห้า" (ประกอบไปด้วย แก่นจันทน์เทศ, แก่นจันทน์ขาว, แก่นจันทน์แดง (แก่นจันน์ผา), แก่นจันทน์ทนา, แก่นจันทน์ชะมด) ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณแก้ไข้เพื่อโลหิตและดี แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ บำรุงปอด บำรุงตับ และช่วยแก้พยาธิบาดแผล (แก่น)

ประโยชน์ของจันทน์เทศ

  1. ลูกจันทน์ (เมล็ด) และดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) มีรสและกลิ่นคล้ายกัน สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อช่วยแต่งกลิ่นอาหารได้ โดยเฉพาะดอกจันทน์จะมีเนื้อหนา ใช้เป็นได้ทั้งเครื่องเทศและเครื่องปรุง ให้ลิ่นรสที่นุ่มนวลกว่าแบบเมล็ด ชาวอาหรับนิยมนำมาใส่อาหารประเภทเนื้อแพะหรือเนื้อแกะ ส่วนทางยุโรปจะใช้ใส่อาหารทั้งคาวและหวาน ส่วนชาวดัตซ์นำมาใส่ในแมสโปเตโต้ สตู กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ฟรุตพุดดิ้ง ฯลฯ ชาวอิตาลีจะนำมาใส่ในอาหารจานผักรวม ไส้กรอก เนื้อลูกวัว และพาสต้า สำหรับอาหารทั่วไปของชนชาติในหลาย ๆ ชาติที่ใส่ทั้งลูกจันทน์และดอกจันทน์ก็ได้แก่ เค้กผลไม้ เค้กน้ำผึ้ง ฟรุตพันช์ ฟรุตเดสเสิร์ต พายเนื้อ ประเภทอาหารจานไข่และชีส ส่วนเมล็ดลูกจันทน์บดเป็นผง ก็จะนำมาใช้โรยหน้าเพื่อให้มีกลิ่นหอมกับขนมปัง บัตเตอร์ พุดดิง ช็อกโกแลตร้อน เป็นต้น และทางภาคใต้ของบ้านเราจะใช้เนื้อผลสดกินเป็นของขบเคี้ยวร่วมกับน้ำปลาหวานหรือพริกเกลือ มีรสออกเผ็ดและฉุนจัดสำหรับผู้ไม่เคยกิน แต่เมื่อคุ้นเคยแล้วจะติดรส
  2. น้ำมันลูกจันทน์ (Nutmeg oil or myristica oil) ที่ได้จากการกลั่นลูกจันทน์ด้วยไอน้ำ สามารถนำมาไปใช้แต่งกลิ่นผงซักฟอก ยาชะล้าง สบู่ น้ำหอม ครีมและโลชันบำรุงผิวได้ หรือเอาเมล็ดมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย นำมาใช้ทำเป็นยาดม ใช้ดมแก้อาการหวัด แก้อาการวิงเวียนหน้ามืดตาลาย
  3. ลูกจันทน์และดอกจันทน์ สามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหาร โดยนำไปผสมกับขนมปัง เนย แฮม ไส้กรอก เบคอน เนื้อตุ๋นต่าง ๆ แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น น้ำพริกสำเร็จรูป หรือนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เพื่อช่วยในการถนอมอาหาร ส่วนเนื้อผลของจันทน์เทศก็สามารถนำไปทำเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบ แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายหรือรู้จักกันมากนัก เพราะการเอาไปแปรรูปยังมีไม่มาก อีกทั้งรสชาติก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อผลจันทน์เทศจะพบได้มากในประเทศอินโดนีเซีย และสำหรับในส่วนของเมล็ด ชาวบ้านจะนำเมล็ดที่แห้งแล้วมาขูดผิวออก ก่อนนำมาใช้ก็กะเทาะเอาเปลือกออก แล้วเอาเนื้อในเมล็ดมาทุบให้แตกกระจาย คั่วให้หอม แล้วป่นเป็นผงใส่แกงคั่ว ทั้งแบบคั่วไก่ คั่วหมู คั่วเนื้อ หรือใส่ในแกงกะหรี่ ข้าวหมกไก่ เป็นต้น
  4. ลูกจันทน์เป็นผลไม้ที่มีรสชาติแปลก คือ มีรสหวาน ร้อน สามารถนำมาตากแห้งใช้ทำเป็นลูกจันกรอบ หรือนำมาเชื่อมกับน้ำตาลก็จะมีกลิ่นหอมหวานน่ารับประทาน ส่วนเนื้อหุ้มเมล็ดก็สามารถนำมาบริโภคได้เช่นกัน โดยนำมาทำเป็นจันทน์ฝอย จันทน์เทศเส้น จันทน์ดอง จันทน์เทศแช่อิ่ม จันทน์เทศหยี เนื้อจันทน์เทศตากแห้ง แยมจันทน์เทศ ฯลฯ
  5. เนื้อผลแก่นิยมนำไปแปรรูปทำเป็นของขบเคี้ยว มีรสหอมสดชื่น หวานชุ่มคอ เผ็ดแบบเป็นธรรมชาติ และช่วยขับลม แก้บิด
  6. เนื้อไม้มีกลิ่นหอม สามารถนำมาใช้ทำเครื่องร่ำ น้ำอบไทย หรือใช้ทำเครื่องหอมต่าง ๆ ได้ บ้างว่าใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี เพราะป้องกันมดปลวกได้ดีเยี่ยม
  7. ปัจจุบันได้มีการนำจันทน์เทศไปแปรรูปเป็นอาหารกระป๋อง ลูกอมลูกกวาด เครื่องหอมต่าง ๆ ทำเครื่องสำอาง สบู่ ยาสระผม สุรา ฯลฯ ซึ่งอเมริกามีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
  8. น้ำมันลูกจันทน์และน้ำมันดอกจันทน์มีฤทธิ์ในการฆ่าลูกน้ำและตัวอ่อนของแมลงได้

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรจันทน์เทศ

  • ไม่ควรรับประทานลูกจันทน์เทศมากกว่า 5 กรัม เพราะจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปากแห้ง มึนงง ทำให้ระบบการเต้นของหัวใจทำงานผิดปกติและอาจเสียชีวิตได้
  • การรับประทานเกินกว่าปริมาณที่กำหนด สารจากลูกจันทน์จะไปยับยั้งการสร้างน้ำย่อยของกระเพาะอาการ อีกทั้งยังไปยับยั้งการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้อีกด้วย และหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้หมดสติ ม่านตาดำขยายตัว โดยพิษของลูกจันทน์นี้มาจากสารที่ชื่อว่า Myristicin ซึ่งพบอยู่ในน้ำมันระเหยของลูกจันทน์
  • ลูกจันทน์เทศมีน้ำมันในปริมาณสูง จึงมีฤทธิ์ในการหล่อลื่นและกระตุ้นลำไส้มากจนเกินไป โดยทั่วไปแล้วจึงต้องนำมาแปรรูปโดยวิธีเฉพาะก่อนนำมาใช้ การคั่วจะช่วยขจัดน้ำมันบางส่วนออกไปได้และทำให้ฤทธิ์ดังกล่าวน้อยลง แต่จะมีฤทธิ์แรงขึ้นในการช่วยทำให้ลำไส้แข็งแรงและระงับอาการท้องเสีย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องร่วง อาเจียน
  • สตรีมีครรภ์ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้
  • ผู้ป่วยที่มีอาการร้อนแกร่ง บิดท้องร่วง ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้
  • สำหรับผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร มีอาการปวดฟันและท้องเสียอันเกิดจากความร้อน ไม่ควรใช้แก่นจันทน์เทศเป็นยา

โคคา

โคคา สรรพคุณและประโยชน์ของต้นโคคา

โคคา

โคคา ชื่อสามัญ Coca, Huanace Coca, Truxillo Coca

โคคา ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythroxylum coca Lam. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Erythroxylum truxillense Rusby) จัดอยู่ในวงศ์โคคา (ERYTHROXYLACEAE)

สมุนไพรโคคา มีชื่อเรียกอื่น ๆ โกโก้ โคโค่ โคค่า (ไทย) เป็นต้น

ลักษณะของโคคา

  • ต้นโคคา จัดเป็นพรรณไม้พุ่ม สูงได้ประมาณ 3-5 เมตร มีรากหยั่งลึก กิ่งเป็นสีน้ำตาลแดง ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศเปรู บราซิล ชิลี เอกวาดอร์ โคลัมเบีย และโบลิเวีย

ใบโคคา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับในระนาบเดียวกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมหรือเว้าตื้น ปลายมักมีติ่งแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม ใบมีขนาดยาวประมาณ 2.5-11 เซนติเมตร ใบเป็นสีเขียว แผ่นใบมีเส้นผ่านเส้นร่างแหข้างละ 1 เส้นของเส้นกลางใบจากโคนจรดปลายใบ เห็นชัดเจนด้านล่างของแผ่นใบ ก้านใบยาวประมาณ 3-6 มิลลิเมตร

ใบโคคา

ใบโคค่า

ดอกโคคา ออกดอกเป็นช่อรวมกันเป็นกระจุกตามซอกใบ ก้านดอกขยายในผล ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองนวล มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบมีขนาดเล็ก ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน เชื่อมติดกันเป็นเส้าเกสร สั้นกว่ากลีบเลี้ยง ก้านชูอับเรณูมีอันยาว 5 อัน และอันสั้น 5 อัน ส่วนเกสรเพศเมียมี 3 อัน ก้านเชื่อมติดกัน ยาวกว่าหรือสั้นกว่าเกสรเพศผู้

โคค่า

ผลโคคา ผลเป็นผลสด มีผนังชั้นในแข็ง ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร มีเกสรเพศเมียติดทน ผลเป็นสีเหลืองอมเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ภายในผลนั้นมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด

รูปโคคา

เมล็ดโคคา

สรรพคุณของโคคา

  • ชาวพื้นเมืองของเปรู โบลิเวีย และชาวพื้นเมืองของทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอาร์เจนตินาจะใช้ใบโคคาสด ๆ นำมาเคี้ยว ซึ่งจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท และใช้เป็นยาบำรุง (ใบ)
  • โคคาถือว่าเป็นพืชมีพิษ เนื่องจากใบมีสาร crystalline tropane alkaloid (benzoylmethylecgonine) ซึ่งเป็นหนึ่งในประมาณ 12 สารอัลคาลอยด์ที่สกัดได้จากใบ มีฤทธิ์เป็นสารกระตุ้นมีผลต่อระบบประสาทและระงับความต้องการของร่างกาย หรือเรียกว่า โคเคน (cocaine) ทำให้ผู้ได้รับสารชนิดนี้รู้สึกมีความสุขและมีพลังงานเพิ่มอย่างสูงในระยะเวลาสั้น ๆ โดยถือเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ของประเทศไทย ผู้ที่เสพจะมีอาการหัวใจเต้นแรง นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ซึมเศร้า และมีโทษทำให้เกิดอาการชักและมีเลือดออกในสมอง ทำให้เป็นอัมพาต หัวใจล้มเหลว และทำให้เกิดอาการโรคซึมเศร้า ในทางการแพทย์จึงใช้คุณสมบัตินี้เป็นยาชาเฉพาะที่ (ใบ)

ประโยชน์ของโคคา

  • ใบนำมาสกัดเอาโคเคน (Cocaine) ซึ่งใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ ถ้าใช้ในขนาดน้อยจะเป็นตัวกระตุ้นสมองส่วน cerebral แต่ถ้าใช้ในขนาดมากหรือใช้ติดต่อกันจะเป็นยาเสพติด

เงาะโรงเรียน

เงาะโรงเรียน สรรพคุณและประโยชน์ของเงาะโรงเรียน

เงาะ ชื่อสามัญ Rambutan

เงาะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephelium lappaceum L. จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)

เงาะ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เงาะป่า (นครศรีธรรมราช), พรวน (ปัตตานี), กะเมาะแต มอแต อาเมาะแต (มาเลย์ปัตตานี) เป็นต้น

เงาะเป็นผลไม้เมืองร้อน มีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย และแพร่ขยายมาปลูกในบ้านเราในภายหลัง ซึ่งนิยมปลูกในภาคใต้และภาคตะวันออก สายพันธุ์ที่นิยมเพาะปลูกมากที่สุดก็ได้แก่ พันธุ์โรงเรียน (เงาะโรงเรียน) พันธุ์สีทอง พันธุ์สีชมพู เป็นต้น ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ ก็มีปลูกกันบ้างประปราย

ประโยชน์ของเงาะ

  1. เงาะมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  2. ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก
  3. ช่วยแก้อาการท้องร่วงรุนแรงอย่างได้ผลเงาะ
  4. ช่วยรักษาโรคบิด ท้องร่วง
  5. ใช้เป็นยาแก้อักเสบ
  6. ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  7. ประโยชน์ของเงาะ สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น การทำเงาะกระป๋อง เงาะกวน เป็นต้น
  8. เงาะมีสารแทนนิน ซึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง ย้อมสีผ้า บำบัดน้ำเสีย ทำปุ๋ย และกาว เป็นต้น
  9. สารแทนนิน (tannin)ช่วยป้องกันแมลง ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ใช้ทำเป็นยารักษาโรค

 

แคแสด

แคแสด สรรพคุณและประโยชน์ต้นแคแสด

แคแสด

แคแสด ชื่อสามัญ Africom tulip tree, Fire bell, Fountain tree, Pichkari, Nandi flame, Syringe

แคแสด ชื่อวิทยาศาสตร์ Spathodea campanulata P.Beauv. จัดอยู่ในวงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)

สมุนไพรแคแสด มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า แคแดง (กรุงเทพ), ยามแดง เป็นต้น โดยแคแสดนั้นเป็นพืชพื้นเมืองของแอฟริกาตอนใต้ และในภายหลังได้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ ของโลกที่มีอากาศค่อนข้างร้อน

ลักษณะทั่วไปของแคแสด

  • ต้นแคแสด หรือ ต้นแคแดง จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 15-20 เมตร ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดพุ่มกลมและค่อนข้างทึบ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเข้มและมีรอยแตกเป็นรวงตามยาว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือใช้หน่อ หากปลูกในที่แห้งมากจะผลัดใบ แต่จะไม่พร้อมกันทั้งต้น และถ้าหากตัดแต่งกิ่งให้แตกเป็นพุ่มกลม ก็จะให้ดอกที่พุ่มกลมตามรูปของเรือนยอดและดูสวยงามมาก

ต้นแคแสดต้นแคแดง

ใบแคแสด ใบเป็นใบผสมแบบขนนก มีใบย่อยประมาณ 4-7 คู่ ส่วนปลายเป็นใบเดียว ลักษณะของใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบจับแล้วสากระคายมือ

ดอกแคแสด ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งตรง มีก้านช่อดอกยาว แต่ละช่อจะมีดอกจำนวนมากและจะทยอยกันบานครั้งละ 2-6 ดอก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-9 เซนติเมตร กลีบดอกติดกัน ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูประฆัง คล้ายดอกทิวลิป เป็นสีแสดหรือสีเลือดหมู ดอกแคแสดมีขนาดใหญ่ กลีบดอกหลุดร่วงได้ง่าย โดยจะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุได้ประมาณ 4-8 ปี และจะออกดอกตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกมากในช่วงฤดูหนาว ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

แคแดง

ดอกแคแสด

  • ลแคแสด มีผลเป็นฝักคล้ายรูปเรือสีดำ ปลายผลแหลม ผลเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล เมื่อผลแก่จะแตกเป็นด้านเดียว ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีขนาดเล็ก แบน และมีปีก โดยจะออกผลตลอดทั้งปี และจะออกผลมากในช่วงฤดูฝนคือช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนกันยายน

ผลแคแสด

ฝักแคแสด

เมล็ดแคแสด

สรรพคุณของแคแสด

  1. เปลือกใช้ต้มกินเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (เปลือก)
  2. ช่วยแก้บิด (เปลือก)
  3. เปลือกใช้พอกรักษาแผลเรื้อรัง (เปลือก, ดอก)
  4. ใบและดอกใช้พอกแผล (ใบ, ดอก)
  5. เปลือก ใบ ดอก และผล ใช้พอกรักษาโรคผิวหนังและแผลเรื้อรังต่าง ๆ (เปลือก, ใบ, ดอก, ผล)

ประโยชน์ของแคแสด

  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับหรือปลูกให้ร่มเงา โดยจะนิยมปลูกตามสวนสาธารณะ ปลูกตามสถานที่ราชการหรือตามริมทางทั่วไป
  • ดอกแคแสดสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้เหมือนแคบ้าน