• product
  • service2
  • กองทุน
  • coffee-banner
  • scb banner11

ข่าวประชาสัมพันธ์

สินค้าและโปรโมชั่น

โปร่งฟ้า

โปร่งฟ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Murraya siamensis Craib.
ชื่ออื่น : ส่องฟ้า,หวดหม่อนต้น,หัสคุณดง,ลอดฟ้า
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้นโปร่งฟ้า เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 2-4 ฟุต
ใบโปร่งฟ้า รูปไข่ปลายแหลม สีเขียวออกเหลือง ขอบจักแบบฟันเลื่อย มีต่อมน้ำมันกระจายทั่วทั้งใบส่องดูจะเห็นเป็นจุดๆทั้งใบ
ดอกโปร่งฟ้า เล็กๆสีขาวอมเขียวคล้ายดอกสะเดา มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกเป็นช่อตั้งที่ปลายกิ่ง เกิดตามป่าดงดิบแล้ง ป่าละเมาะทั่วประเทศ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด



สรรพคุณโปร่งฟ้า
     ใบโปร่งฟ้า มีรสหอมหวาน รสเผ็ดร้อน แก้ผื่นคัน แก้พิษตะขาบ ห้ามเลือด ขยี้พอกที่แผลสด แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ไอเจ็บคอ ขับลม ท้องอืด แก้หวัด แก้ไซนัส ภูมิแพ้ หอบหืด บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง คลายกล้ามเนื้อ นอนกรน ลดไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง ลิ้นกระด้างคางแข็งเนื่องจากอัมพาตชั่วคราวระยะไม่เกิน 24 ชม เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ ถอนพิษคาเฟอีนจากกาแฟ แก้หวัด ขยี้พอแหลก ห่อผ้าอ้อมวางห่างจมูก 1 คืบ สำหรับเด็กอ่อน (ใช้เพียง 1 ก้าน+ใบเท่านั้น) แก้ไซนัส ใช้ใบม้วนกับต้นกระเทียมตากแห้งม้วนด้วยใบโปร่งฟ้าสูบวันละ 7-8 มวน 1 ใบ ต่อ 1มวน ใช้ระยะเวลา 7-8 วันก็จะหาย รากจะหลุดออกมาทั้งยวง แก้ไอเจ็บคอ ภูมิแพ้ บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง ลดไขมันในเลือด (ต้มดื่มทั้งวัน ระยะเวลา 1 เดือน ไขมันลดกว่า 100 กว่า) ความดันโลหิตสูง ให้ผู้ป่วยนำโปร่งฟ้าไปใช้อย่างเดียวไม่ให้ใช้รวมกับยาแผนปัจจุบัน จะได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
ผลสุก 3-5ผล เคี้ยวแก้อัมพฤกษ์-อัมพาต แก้ท้องอืด ขับลม 
     ดอกโปร่งฟ้า ฆ่าเชื้อโรค แผลเรื้อรัง ไส้ลาม ไส้ด้วน
     รากโปร่งฟ้า รสเฝื่อนเย็น แก้ตามัว ตาฝ้า ตาฟาง ฝนกับน้ำ กินและทาแก้พิษงู แก้วัณโรคชนิดบวม แก้โรคหิตในลำคอและลำไส้ให้กระจาย แก้ริดสีดวง

ปีบทอง

ปีบทอง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นปีบทอง

ปีบทอง

ปีบทอง ชื่อสามัญ Tree jasmine

ปีบทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Mayodendron igneum (Kurz) Kurz (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Radermachera ignea (Kurz) Steenis) จัดอยู่ในวงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)

สมุนไพรปีบทอง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จางจืด (เชียงใหม่), กาซะลองคำกาสะลองคำ แคชาญชัย (เชียงราย), แคเป๊าะ สำเภาหลามต้น (ลำปาง), กากี (สุราษฎร์ธานี), สะเภา สำเภา อ้อยช้าง (ภาคเหนือ), ปีบทอง (ภาคกลาง), ปั้งอ๊ะมี (ม้ง), เดี้ยงด่งเบี้ยง (เมี่ยน), กาสะลอง (ทั่วไป) เป็นต้น

ลักษณะของปีบทอง

  • ต้นปีบทอง หรือ ต้นกาซะลองคำ มีเขตการกระจายพันธุ์กว้างตั้งแต่ในประเทศจีนตอนใต้ พม่า ลาว และเวียดนาม ส่วนในประเทศไทยพบได้ตั้งแต่ทางภาคใต้ในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพชรบุรี อุทัยธานี ขึ้นไปถึงทางภาคเหนือของประเทศ จัดเป็นไม้ยืนต้นเล็กถึงขนาดกลาง และเป็นไม้ผลัดใบแต่จะผลัดไม่พร้อมกัน มีความสูงของต้นประมาณ 6-20 เมตร ต้นมีเรือนยอดเป็นรูปใบหอกหรือไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ กิ่งก้านแผ่ออกเป็นชั้น ๆ ออกกว้าง ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง ตามกิ่งก้านและตามลำต้นจะมีรูระบายอากาศกระจายอยู่ทั่วไป เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็นลายประสานกันคล้ายตาข่าย เปลือกต้นขรุขระเป็นเม็ดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การปักชำกิ่ง และการแยกหน่อ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย สามารถพบได้ตามป่าเบญจพรรณ ตามชายดิบแล้งตามเชิงเขา และตามเขาหินปูน ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร

ต้นปีบทองต้นกาซะลองคำ

ใบปีบทอง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกแบบสามชั้น ยาวประมาณ 18-60 เซนติเมตรเรียงตรงข้ามกัน มีใบประกอบย่อยประมาณ 3-4 คู่ ส่วนใบย่อยมีประมาณ 3-5 คู่ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปหอก รูปขอบขนานแกมใบหอก หรือรูปวงรีแกมใบหอก ปลายใบแหลมบางครั้งยาวคล้ายหางหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบแหลมสอบ หรือบางใบโคนในอาจเบี้ยวเล็กน้อย ส่วนขอบใบเรียบบิดเป็นคลื่น ๆ เล็กน้อย และมักมีต่อมอยู่ที่โคนด้านหลังของใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะเป็นมัน ท้องใบมีต่อมเล็ก ๆ อยู่ประปรายทั่วไป และก้านใบย่อยยาวประมาณ 0.6-0.8 เซนติเมตร ส่วนก้านใบปลายยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร

ใบกาซะลองคำใบปีบทอง

ดอกปีบทอง ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ หรือออกเป็นช่อกระจุกทั่วไปตามกิ่งก้านและตามลำต้น ในหนึ่งกระจุกจะมีดอกอยู่ประมาณ 3-10 ดอก และจะทยอยบานครั้งละ 3-5 ดอก ดอกมีก้านช่อดอกสีน้ำตาลอมสีแดงและมีขนอ่อน ๆ ขึ้นอยู่ประราย ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร และยังมีกลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกที่เป็นสีน้ำตาลอมสีแดง ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีรอยผ่าเปิดด้านเดียว ด้านหน้าตามทางยาวติดกันเป็นหลอดห่อหุ้มกลีบดอก ส่วนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปทรงกระบอกโคนแคบ ตรงกลางค่อย ๆ โป่งออก หรือเป็นรูปกรวยหรือเชื่อมติดกันเป็นรูประฆังยาว ปลายกลีบดอกแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ มีลักษณะบานแผ่และม้วนลงด้านนอก ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 4 อัน โผล่ออกมาเสมอปากกลีบดอก ดอกมีเกสรเพศผู้มีขนขึ้นปกคลุม ส่วนยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 2 แฉก เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร โดยดอกจะบานอยู่ประมาณ 1-2 วัน แล้วจะร่วงหล่นและดอกใหม่ก็จะทยอยบานขึ้นมาแทนที่

กาซะลองคำ

ดอกปีบทอง

กาสะลองคำ

ผลปีบทอง ผลเป็นผลแห้ง ลักษณะของผลเป็นรูปฝักดาบยาวและห้อยลง หรือเป็นรูปทรงกระบอกยาวเรียวคล้ายกับฝักของถั่วฝักยาว ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ 30-45 เซนติเมตร ฝักเมื่อแก่จะบิดเวียนเป็นเกลียวเล็กน้อย เมื่อฝักแห้งจะแตกได้เป็นพู 2 พู หรือ 2 ซีก ภายในฝักมีแกนทรงกระบอกเล็ก ๆ ยาวเรียวซึ่งเป็นที่อยู่ของเมล็ด เมื่อฝักแห้งจะแตกออกและเมล็ดจะปลิวไปตามลม เมล็ดเป็นเมล็ดแห้ง แบน บาง และมีปีกเป็นเยื่อบาง ๆ สีขาว ยาวออกทางด้านข้าง ขอบปีกเสมอกับตัวเมล็ด และมีขนาดกว้างประมาณ 0.2-1.0 เซนติเมตรsup

ผลปีบทอง

สรรพคุณของปีบทอง

  1. ลำต้นใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น (ลำต้นกาซะลองคำ, ต้นขางปอย, ต้นขางน้ำข้าว, ต้นขางน้ำนม, ต้นอวดเชือก) ใช้ฝนกับน้ำกินแก้ซาง (ลำต้น)
  2. ลำต้นใช้แก้ซางในเด็กที่มักจะมีเม็ดขึ้นในปากและลำคอ (ลำต้น)
  3. ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า (ลำต้น)
  4. ช่วยรักษาอาการปวดฟัน (เปลือกต้น)
  5. เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาลดไข้ (เปลือกต้น)
  6. ช่วยแก้อาการตัวร้อน (ลำต้น)
  7. ช่วยแก้อาเจียน (ลำต้น)
  8. เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำใช้อมแก้อาการเมายา (เปลือกต้น)
  9. เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องเสีย (เปลือกต้น)
  10. ลำต้นใช้เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องเดิน (ลำต้น)
  11. ใบนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำใช้ทาหรือพอกรักษาแผลสด แผลถลอก และช่วยห้ามเลือด (ใบ)
  12. เปลือกใช้เป็นยาใส่แผล (ไม่ได้บอกวิธีใช้)
  13. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง โรคเรื้อน (เปลือกต้น)
  14. สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ HIV-1 reverse transcriptase

ประโยชน์ของปีบทอง

  • ดอกนำมารับประทานโดยการทอดหรือใช้ลวกเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก
  • ดอกสามารถนำมาใช้ทำสีย้อมผ้าได้
  • ต้นปีบทองเป็นไม้ต้นที่มีทรงพุ่มแน่นทึบดูสวยงาม ให้ความร่มรื่นได้ดี ทรงพุ่มไม่สูงหรือใหญ่มากจนเกินไป อีกทั้งยังมีดอกสวยและออกดอกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอากาศหนาว จะมีความสวยงามและออกดอกได้มากขึ้น จึงนิยมนำใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปตามสวนสาธารณะ สถานที่ราชการ ริมถนน ริมสระน้ำ หรือตามอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงรายและยังถูกคัดเลือกให้เป็นพรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัยถึง 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เรียกว่า “ปีบทอง” และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เรียกว่า “กาซะลองคํา” ซึ่งสื่อความหมายถึงความรุดหน้า เรียบง่าย ความแข็งแรง และความร่มเย็น

ไผ่รวก

ต้นไผ่รวก

ไผ่รวกหวานภูกระดึง หน่อกินสดไม้ขายเป็นลำดี

ชื่อวิทยาศาสตร์     :  Thyrsostachys siamensis Gamble

ชื่อวงศ์                    :  GRAMINEAE

ชื่อท้องถิ่น              :

  • ภาคกลาง เรียก ไผ่รวก
  • ภาคเหนือ เรียก ไม้ฮวก
  • เขมร-แม่ฮ่องสอน เรียก แวปัง
  • กะเหรี่ยง-เชียงใหม่ เรียก แวบ้าง
  • ฉาน-แม่ฮ่องสอน เรียก สะลอม

ลักษณะทั่วไป        :  ไผ่รวกเป็นไผ่ลำเล็กขึ้นชิดแน่นทึบ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 ซม. สูง 5–10 เมตร ไม่มีหนาม หน้าใบมีขนเล็กๆ กาบหุ้มลำบางแนบชิดกับลำไม่หลุดร่วงเมื่อแก่ กาบหน่อสีขาว ปล้องยาว 7–23 ซม.

การปลูก              :  มีขึ้นเองตามป่าราบและบนเขาสูงๆ แพร่พันธุ์ด้วยหน่อซึ่งจะแทงออกมาจากโคนต้น

สรรพคุณทางยา    :

  • ใบ รสขื่น เฝื่อน ขับและฟอกล้างโลหิต ขับระดูขาว แก้มดลูกอักเสบ และขับปัสสาวะ
  • ตา รสเฝื่อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไขพิษ
  • ราก รสกร่อย เอียนเล็กน้อย ใช้ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ ขับนิ่ว
  • หน่อไม้ตาเต่า รสขื่นขม ติดจะร้อน แก้ตับหย่อน ตับทรุด ม้ามย้อย แก้กระษัย และเลือดเป็นก้อน

ต้นประดู่ส้ม

เติม สรรพคุณและประโยชน์ของต้นเติม (ต้นประดู่ส้ม)

เติม

เติม หรือ ประดู่ส้ม ชื่อสามัญ Java cedar

เติม ชื่อวิทยาศาสตร์ Bischofia javanica Blume จัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (ฺPHYLLANTHACEAE)

ต้นเติม มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดู่ส้ม (กาญจนบุรี, นครราชสีมา), ดู่น้ำ ประดู่ส้ม (ชุมพร), ประส้มใบเปรี้ยว ประดู่ใบเปรี้ยว (อุบลราชธานี), ยายตุหงัน(เลย), กระดังงาดง (สุโขทัย), จันบือ (พังงา), ส้มกบ ส้มกบใหญ่ (ตรัง), กุติกุตีกรองหยัน กรองประหยัน ขมฝาด จันตะเบือ ย่าตุหงัน (ยะลา), ยายหงัน(ปัตตานี), ไม้เติม (คนเมือง), ซะเต่ย (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ซาเตอ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ชอชวาเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ด่งเก้า (ม้ง), เดี๋ยงซุย (เมี่ยน), ไม้เติม ลำผาด ลำป้วย (ลั้วะ), ด่อกะเติ้ม (ปะหล่อง), ละล่ะทึม (ขมุ), ชิวเฟิงมู่ ฉง หยางมู่ (จีนกลาง) เป็นต้น

ลักษณะของต้นเติม

  • ต้นเติม หรือ ต้นประดู่ส้ม มีเขตการกระจายพันธุ์จากอินเดียไปจนถึงประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก โดยมักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ หรือริมลำห้วยที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,000 เมตร ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 10-30 เมตร และอาจสูงได้ถึง 35 เมตร ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดค่อนข้างทึบ กิ่งมักคดงอ ลำต้นมีเนื้อไม้สีน้ำตาลอมสีเหลือง มีกลิ่นหอม เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือเป็นสีน้ำตาลอมแดง และจะเป็นสีน้ำตาลเข้มเมื่อมีอายุมากขึ้น ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีน้ำตาลอมแดง และมียางสีแดง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง

ต้นเติม

รูปต้นเติม

ใบเติม ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบเรียงสลับกัน ก้านใบรวมยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ส่วนก้านใบย่อยข้างยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ก้านใบปลายยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่หรือรูปรีแกมไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบหยักโค้งแกมฟันเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-11 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร เนื้อใบหนาเกลี้ยง ด้านหลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ใบเมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใบเติม

ดอกเติม ออกดอกเป็นช่อ แยกแขนงออกตามซอกใบ ช่อดอกห้อยลง มีความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร แต่ละช่อดอกมีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นสีเหลืองอ่อนอมเขียว ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน (บ้างว่าอยู่กันคนละต้น) โดยดอกเพศผู้จะมีกาบลักษณะเป็นรูปหอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ไม่มีกลีบดอก ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 5 ก้าน มีเกสรเพศเมียที่เป็นหมันเป็นแผ่นกว้าง ก้านเกสรสั้น และไม่มีหมอนรองดอก ส่วนดอกเพศเมียมีข้อ ด้านบนหนา กลีบเลี้ยงมีลักษณะโค้งเข้าตรงกลาง ก้านเกสรเพศเมียสั้นปลายแยกเป็นแฉก 3 แฉกโค้งกลับ เมื่อดอกบานจะบานพร้อมกันทั้งต้นดูสวยงามมาก และดอกจะร่วงโรยทั้งต้นในวันรุ่งขึ้น โดยจะออกดอกในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม

ดอกเติม

ดอกเติมเพศผู้

ผลเติม ออกผลเป็นช่อ ๆ ผลเป็นผลสด ฉ่ำน้ำ ลักษณะของผลค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของผลประมาณ 7-10 มิลลิเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีเหลืองหรือเป็นสีส้มแกมสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-4 เมล็ด และมีเนื้อหุ้มอยู่ โดยผลจะแก่จัดในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม

ลูกเติม

สรรพคุณของเติม

  1. เนื้อไม้มีรสฝาดขม ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตกำเดา แก้ไข้เพื่อโลหิต (เนื้อไม้)
  2. รากและเปลือกใช้เป็นยาฟอกโลหิต แก้โลหิตกำเดา (รากและเปลือก)
  3. ช่วยแก้ตานซางในเด็ก (ใบ)
  4. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เจ็บคอ แก้เสียงแหบแห้ง (ลำต้น) หรือจะใช้เปลือกลำต้นและใบนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้เจ็บคอ (เปลือกต้น, ใบ) ตามตำรับยาระบุให้ใช้ใบสด 35 กรัม นำมาตำให้พอแหลก คั้นเอาแต่น้ำรับประทาน (ใบ)
  5. ดอกมีรสร้อนหอม ช่วยแก้เสมหะ (ดอก)
  6. ช่วยแก้ปอดอักเสบ (ใบ)
  7. เปลือกต้นหรือยอดอ่อนนำมาต้มกับน้ำดื่มแก้อาการท้องเสีย (เปลือกต้น, ยอดอ่อน)
  8. ดอกช่วยแก้ลมจุกเสียด อาการท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ (ดอก)
  9. แก่นลำต้นและเปลือกต้นเป็นยาแก้ท้องร่วง (เปลือกต้น, แก่น) ส่วนใบก็เชื่อว่าแก้อาการท้องร่วงได้ด้วย โดยอาจจะใช้ต้มให้หมูที่มีอาการท้องร่วงกินเป็นยาด้วยก็ได้ (ใบ)
  10. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด (ลำต้น) บ้างว่าใช้เปลือกลำต้นและใบนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้โรคบิดและแก้อาการท้องเดิน (เปลือกต้น, ใบ)
  11. เปลือกต้นใช้ตำผสมกับอาหารที่มีรสจัด จะช่วยป้องกันอาการท้องเสียได้ (เปลือกต้น)
  12. ใช้แก้มะเร็งในกระเพาะอาหารหรือในทางเดินอาหาร ด้วยการใช้ใบสด 60-100 กรัม นำมาต้มกับเนื้อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน หรือจะใช้ใบสด 60 กรัม นำมาผสมกับกาฝากลูกท้อ, ยิ้ง, แปะหม่อติ้ง, จุยเกียมเช่า อย่างละ 15 กรัม นำมาผสมรวมกันต้มกับน้ำ 2 ครั้ง ใช้แบ่งรับประทานวันละ 4 ครั้ง (ใบ)
  13. ช่วยแก้ตับอักเสบเนื่องจากติดไวรัส (ใบ)
  14. ใบใช้ภายนอกเป็นยาแก้ฝีหนอง (ใบ)
  15. ช่วยลดบวม (รากและเปลือก)
  16. ช่วยขับลมชื้น แก้อาการปวดกระดูก ปวดข้อกระดูก ด้วยการใช้เปลือกต้นหรือราก 15 กรัม นำมาดองกับเหล้ารับประทาน หรือจะนำมาทาหรือนวดบริเวณที่ปวดก็ได้ (เปลือกต้น, ราก)

ประโยชน์ของเติม

  1. ยอดอ่อนและดอกสามารถนำไปประกอบอาหารได้ เช่น การนำมาทำเป็นยำ ยำใส่ปลากระป๋อง ฯลฯ หรือจะนำไปลวกหรือรับประทานสดจิ้มกับน้ำพริก หรือนำไปหมกกับเกลือใช้รับประทานแบบเมี่ยง หรือจะนำใบอ่อนนำมาสับให้ละเอียดใช้เป็นส่วนผสมในการทำลาบ นอกจากนี้ยังนำยอดอ่อนลนไฟมาใช้ในการประกอบอาหารเพื่อช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวได้อีกด้วย เช่น การทำแกงส้มปลา
  2. ผลสุกสามารถนำมารับประทานได้ โดยจะมีรสเปรี้ยวและฝาด
  3. เนื้อไม้ของต้นเติมเป็นสีเทาแกมสีน้ำตาลไหม้ เนื้อไม้หยาบ เลื่อยผ่าไสตบแต่งขัดมันขึ้นดี สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้าง ทำสะพาน ทำฝา พื้นกระดาน ฯลฯ หรือใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน หรือใช้ทำอุปกรณ์ใช้งานที่ทนน้ำได้ เช่น แจวและพาย ฯลฯ หรือจะใช้ลำต้นนำมาเผาเอาถ่านก็ได้เช่นกัน
  4. เปลือกต้นมีสารแทนนินมาก สามารถนำมาใช้ในการย้อมสีภาชนะใช้สอยประเภทกระบุง ตะกร้า เครื่องเรือนที่ทำด้วยหวายหรือไม้ไผ่ โดยจะให้สีชมพู
  5. ต้นเติมสามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีช่อดอกและช่อผลที่สวยงาม หรือใช้ปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาได้ โดยเป็นไม้ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่เลือกพื้นที่และอากาศ[