• product
  • service2
  • กองทุน
  • coffee-banner
  • scb banner11

ข่าวประชาสัมพันธ์

สินค้าและโปรโมชั่น

พิมเสน

พิมเสน สรรพคุณและประโยชน์ของพิมเสนเกล็ด

พิมเสน

พิมเสน ชื่อวิทยาศาสตร์ Borneol camphor (พิมเสนธรรมชาติหรือพิมเสนแท้), Borneolum Syntheticum (Borneol) (พิมเสนสังเคราะห์หรือพิมเสนเทียม)

สมุนไพรพิมเสน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า พิมเสนเกล็ด (ไทย), ปิงเพี่ยน เหมยเพี่ยน (จีนกลาง) เป็นต้น

หมายเหตุ : พิมเสนที่กล่าวถึงในบทความนี้เป็นคนละชนิดกันกับต้นพิมเสนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่บทความ พิมเสนต้น

ลักษณะของพิมเสน

โดยทั่วไปแล้วพิมเสนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ พิมเสนที่ได้จากธรรมชาติและพิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งพิมเสนทั้งสองชนิดจะมีการระเหยและติดไฟได้ง่าย สามารถละลายได้ในแอลกอฮอล์ ปิโตรเลียมอีเทอร์ และคลอโรฟอร์ม แต่จะไม่ละลายหรือละลายได้ยากในน้ำ และมีจุดหลอมตัวของทางเคมีวิทยาอยู่ที่ 205-209 องศาเซลเซียส พิมเสนจะมีกลิ่นหอมเย็น รสหอม ฉุน เย็นปากคอ ในสมัยก่อนจะใช้ใส่ในหมากพลูเคี้ยว

  • พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้ คือ พิมเสนที่ได้มาจากการระเหิดของยางจากต้นไม้ชนิดหนึ่งตามภาพด้านล่าง (ได้จากการกลั่นเนื้อไม้) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในวงศ์ยางนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ลักษณะของไม้ชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงได้ถึง 70 เมตร มีกิ่งก้านสาขา ใบเป็นใบเดี่ยว ใบจะอยู่ที่ตอนบนของต้น ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างจะออกตรงข้าม ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ขอบใบเรียบ ใบอ่อนเป็นสีแดง ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งและตามซอกใบ ส่วนผลเป็นผลแห้งมีปีก ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด โดยยางที่ได้จากการระเหิดจะมีลักษณะเป็นเกล็ดใส มีขนาดเล็ก เป็นรูปหกเหลี่ยม และเปราะแตกได้ง่าย[1] พิมเสนจะมีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงจ้าและมีควันมากแต่ไม่มีขี้เถ้า

ต้นพิมเสน

ใบพิมเสน

ดอกพิมเสน

ผลพิมเสน

  • พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียม คือ พิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์อบเชย (LAURACEAE), ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) หรือน้ำมันสนโดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา

พิมเสน

สรรพคุณของพิมเสน

  1. พิมเสนมีรสเผ็ดขม มีกลิ่นหอม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและปอด เป็นยาบำรุงหัวใจ
  2. ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย ทะลวงทวารทั้งเจ็ด
  3. ช่วยกระตุ้นสมอง กระตุ้นการหายใจ
  4. แก้ลมวิงเวียนหน้ามืด หัวใจอ่อน ทำให้ชุ่มชื่น
  5. ใช้เป็นยาระงับความกระวนกระวาย ทำให้ง่วงซึม
  6. ตำรายาแก้ไอ แก้หลอดลมอักเสบ ให้ใช้พิมเสน 2 กรัมและขี้ผึ้ง 3 กรัมนำมาทำเป็นยาหม่อง ใช้ทาบริเวณลำคอและจมูกจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
  7. ช่วยแก้ปากเปื่อย ปากเป็นแผล เหงือกบวม หูคออักเสบ
  8. ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ
  9. ช่วยขับลมทำให้เรอ ช่วยขับผายลม แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง แก้ปวดท้อง
  10. ช่วยรักษาแผลกามโรค
  11. ใช้รักษาบาดแผลสด แผลเนื้อร้าย
  12. ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคผิวหนังต่าง ๆ
  13. การกลั่นใบและยอดอ่อนของหนาดด้วยไอน้ำจะได้พิมเสนตกผลึกออกมา นำมาทำเป็นยากินแก้อาการท้องร่วง ปวดท้อง ใช้ขับลม หรือใช้ภายนอกเป็นผงใส่บาดแผล แก้แผลอักเสบ ฟกช้ำ และกลากเกลื้อน
  14. ใช้แก้ผดผื่นคัน ให้ใช้พิมเสนและเมนทอลอย่างละ 3 กรัม ผงลื่นอีก 30 กรัม นำมารวมกันบดเป็นผงใช้ทาแก้ผดผื่นคัน
  15. ใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้อักเสบ
  16. พิมเสนใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาหอมต่าง ๆ เช่น ยาหอมนวโกฐ ยาหอมเทพจิตร ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณโดยรวมคือแก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย
  17. พิมเสนจัดอยู่ใน “ตำรับยาทรงนัตถุ์” ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่อง 17 สิ่ง อย่างละเท่ากัน (รวมถึงพิมเสนด้วย) นำมาผสมกันแล้วบดเป็นผงละเอียด ใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในศีรษะ ตา และจมูก และยังมีอีกขนาดหนึ่งใช้เข้าเครื่องยา 15 สิ่ง (รวมทั้งพิมเสนด้วย) นำมาบดให้เป็นผงละเอียด ห่อด้วยผ้าบาง ทำเป็นยาดมแก้อาการวิงเวียน ปวดศีรษะ แก้สลบ ริดสีดวงจมูก คอ และตา
  18. นอกจากนี้พิมเสนยังใช้เป็นส่วนผสมในตำรับ “สีผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น” และ “ตำรับยาสีผึ้งบี้พระเส้น” ซึ่งเป็นตำรับยาที่ใช้ถูนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้

ข้อควรระวังในการใช้พิมเสน

  • สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานพิมเสน
  • หากใช้เกินขนาดอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ความจำสับสน
  • การเก็บพิมเสนต้องเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด ควรเก็บไว้ในที่แห้งและมีอุณหภูมิต่ำ

ประโยชน์ของพิมเสน

  • ในสมัยก่อนพิมเสนเป็นยาที่หายากและมีราคาแพง (จึงมีคำพูดที่ว่า “อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ”) นิยมนำพิมเสนมาใส่ในหมากพลู ใช้ผสมในลูกประคบเพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์เป็นยาแก้หวัด แก้พุพอง นอกจากนี้ยังใช้ผสมในยาหม่อง น้ำอบไทย ในยาหอมจะมีพิมเสนและใบพิมเสนผสมอยู่ด้วย

พลับจีน

พลับจีน สรรพคุณและประโยชน์ของพลับจีน

พลับ ชื่อสามัญ Persimmon

พลับ ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros kaki L.f. (ญี่ปุ่น), Diospyros virginiana L. (ยุโรป) จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)

ต้นพลับ มีอยู่หลายสปีชีส์ด้วยกัน โดยสปีชีส์ที่นิยมปลูกในบ้านเรามากที่สุดก็คือสปีชีส์ Diospyros kaki L.f. (ญี่ปุ่นจะเรียกว่า "คาขิ") ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในภาคเหนือของจีน มีการรับประทานลูกพลับมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น และต่อมาได้แพร่กระจายพันธุ์เข้าไปในญี่ปุ่น และในปัจจุบันก็ได้กลายเป็นผลไม้ยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นไปแล้ว และก็มีลูกพลับอีกสปีชีส์หนึ่งที่นิยมปลูกในยุโรปซึ่งก็คือสปีชีส์ Diospyros virginiana L.

ลักษณะของต้นพลับ

  • ต้นลูกพลับ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ใบสีเขียวคล้ายรูปหัวใจ มีดอกสีเหลืองทรงคล้ายระฆัง ลักษณะของผลลูกพลับจะมีอยู่หลายรูปทรง ทั้งแบบกลม แบบกรวย กลมแบน ส่วนผลอ่อนของลูกพลับจะเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีเหลือง เนื้อแข็ง เป็นสีส้ม ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลประมาณ 8 เมล็ด

ต้นลูกพลับ

ดอกพลับ

  • ลูกพลับ สามารถจำแนกตามรสชาติได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ลูกพลับหวาน เช่น พันธุ์ฟูยุ (รสหวาน ผลสุกสีส้มอมเหลือง สามารถรับประทานสด ๆได้) และลูกพลับฝาด เช่น พันธุ์ซิชู พันธุ์ฮาชิยา (รสฝาด เนื้อนิ่ม ผลสุกเนื้อสีส้มอมแดง ต้องนำมาผ่านกระบวนการลดความฝาดก่อนถึงจะรับประทานได้)

ลูกพลับ

พลับ

ประโยชน์ของพลับ

  1. ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีและไขมันต่ำ ทั้งยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก
  2. ลูกพลับมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ
  3. หากนำลูกพลับมาหมักให้เปรี้ยว 1 ปีขึ้นไปจะมีสรรพคุณทางยาสูงขึ้น ช่วยบำรุงร่างกาย แก้อาการเหนื่อยล้า
  4. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันต้อกระจก ตาฟาง
  5. ช่วยบำรุงลำไส้ บำรุงปอดและม้าม
  6. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ
  7. ช่วยแก้หืดหอบ (ผลแห้ง)
  8. ช่วยลดความดันโลหิต
  9. ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจและปอดได้
  10. ช่วยแก้โรคปอดและกระเพาะอาหาร ซึ่งเกิดจากการสร้างพลังงานของปอดที่ลดลง ทำให้มีอาการไอ หายใจติดขัด เส้นผมหลุดร่วงหยาบกระด้าง หากเป็นติดต่อกันนาน ๆ ชีพจร กล้ามเนื้อและกระดูกจะสร้างสารผิดปกติในผนังกระเพาะอาหารได้
  11. ใช้เป็นยาบรรเทาอาการร้อนใน (ผลแห้ง)
  12. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ (ผลแห้ง)
  13. ส่วนกลีบเลี้ยงหรือก้านของผลลูกพลับสามารถนำมาทำเป็นยาเพื่อใช้แก้อาการสะอึกได้
  14. ช่วยบรรเทาอาการไข้เพ้อหรือไข้ที่เกิดจากอาการโกรธสุดขีด
  15. ช่วยแก้ไอ (ผลสด, ผลแห้ง)
  16. ช่วยขับเสมหะ (ผลแห้ง)
  17. ช่วยแก้พิษสุรา (ผลสด)
  18. ช่วยแก้อาการท้องเดิน (ผลสด)
  19. ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารและลำไส้ (ผลแห้ง)
  20. ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องซึ่งมีสาเหตุมาจากความเย็น เช่น ประจำเดือน ปวดบิด เป็นต้น
  21. ช่วยแก้อาการบิดในเด็กที่ถ่ายเป็นมูกเลือด
  22. ช่วยแก้อาการถ่ายเป็นเลือด
  23. ช่วยในการขับถ่าย แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง
  24. ช่วยแก้และบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร (ผลแห้ง)
  25. ช่วยแก้อาการปัสสาวะเป็นเลือด (ผลแห้ง)
  26. ช่วยแก้ต่อมไทรอยด์บวม (ผลดิบ)
  27. ผลสดมีสรรพคุณเป็นยาห้ามเลือด (ผลสด)
  28. ช่วยลดผื่นจากไข้ หรือผื่นที่เกิดจากความร้อน
  29. ช่วยแก้พิษจากเหล้า ช่วยทำให้หายจากการอาเจียนเป็นเลือด
  30. มีส่วนช่วยลดฝ้า กระ บนใบหน้า

ประโยชน์ของพลับ

  1. นอกจากจะใช้รับประทานเป็นผลไม้สดแล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นลูกพลับแห้ง พลับเชื่อม น้ำลูกพลับ แยมลูกพลับ ฯลฯ
  2. ใบสามารถนำมาทำเป็นชาไว้ชงดื่มได้ ด้วยการใช้ใบตากแห้งต้มกับน้ำเดือด ก็จะช่วยลดอาการแข็งตัวของหลอดเลือด แก้เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน ลดความดัน ช่วยระบาย แก้อาการนอนไม่หลับ เป็นต้น
  3. เนื้อไม้สามารถนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้
  4. สำหรับชาวจีนแล้วผลไม้อย่างลูกพลับเป็นที่นิยมรับประทานอย่างมาก และถือว่าลูกพลับเป็นผลไม้มงคลที่แสดงถึงความมั่งมีศรีสุข เนื่องจากเปลือกของลูกพลับเมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองทองราวกับทองคำ จึงเปรียบได้ดั่งผลไม้จากสรวงสวรรค์นั่นเอง และลูกพลับยังเป็นที่นิยมนำมาเป็นของขวัญตามเทศกาลต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนี้การรับประทานลูกพลับวันละ 1 ผลจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก

พิกุล

พิกุล สรรพคุณและประโยชน์ของต้นพิกุล

พิกุล

พิกุล ชื่อสามัญ Asian bulletwood, Bullet wood, Bukal, Tanjong tree, Medlar, Spanish cherry

พิกุล ชื่อวิทยาศาสตร์ Mimusops elengi L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Mimusops elengi var. parvifolia (R.Br.) H.J.Lam, Mimusops parvifolia R.Br.) จัดอยู่ในวงศ์พิกุล (SAPOTACEAE)

สมุนไพรพิกุล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ซางดง (ลำปาง), พิกุลเขา พิกุลเถื่อน (นครศรีธรรมราช), พิกุลป่า (สตูล), แก้ว (ภาคเหนือ), กุน (ภาคใต้), ไกรทอง, ตันหยง, มะเมา, พกุล, พิกุลทอง เป็นต้น

ลักษณะของพิกุล

  • ต้นพิกุล มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ศรีลังกา ไทย พม่า อินโดจีน และในหมู่เกาะอันดามัน จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 10-25 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้างหนาทึบ เปลือกต้นเป็นสีเทาอมสีน้ำตาลและแตกเป็นรอยแตกระแหงตามแนวยาว ทั้งต้นมีน้ำยางสีขาว ส่วนกิ่งอ่อนและตามีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และวิธีการปักชำกิ่ง ชอบขึ้นในพื้นที่ดินดี ชอบแสงแดดจัด ทนทานต่อสภาพน้ำท่วมขังได้นานถึง 2 เดือน มีการเพาะปลูกมากในมาเลเซีย เกาะโซโลมอน นิวแคลิโดเนีย วานูอาตู และออสเตรเลียทางตอนเหนือ รวมไปถึงเขตร้อนทั่ว ๆ ไป (เปลือกต้น พบว่ามีสารในกลุ่มไตรเทอร์ปีน ได้แก่ Beta amyrin, Betulinic acid, Lupeol, Mimusopfarnanol, Taraxerone, Taraxerol, Ursolic acid, สารในกลุ่มกรดแกลลิก ได้แก่ Phenyl propyl gallate, น้ำมันหอมระเหย ได้แก่ Cadinol, Diisobutyl phthalate, Hexadecanoic acid, Octadecadienoic acid, Taumuurolol, Thymol)
ต้นพิกุลพิกุลเขา
  • ใบพิกุล มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันแบบห่าง ๆ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปรี ใบมีความกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลมหรือหยักเป็นติ่งสั้น ๆ โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบและเป็นคลื่นเล็กน้อย หลังใบเป็นสีเขียวเรียบเป็นมัน ท้องใบจะเป็นสีเขียวอ่อน และเนื้อใบมีลักษณะค่อนข้างเหนียว ส่วนก้านใบยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร หูใบมีลักษณะเป็นรูปเรียวแคบ ยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร และหลุดร่วงได้ง่าย

ใบพิกุล

  • ดอกพิกุล ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกประมาณ 2-6 ดอก โดยจะออกตามซอกใบหรือตามปลายกิ่ง ดอกพิกุลจะมีขนาดเล็กสีขาวนวล มีกลิ่นหอม (กลิ่นยังคงอยู่แม้ตากแห้งแล้ว) และหลุดร่วงได้ง่าย เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 8 กลีบ เรียงซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นละ 4 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงด้านนอกมีลักษณะเป็นรูปใบหอก ปลายแหลม มีขนสั้นสีน้ำตาลนุ่ม ยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร โดยกลีบดอกจะสั้นกวากลีบเลี้ยงเล็กน้อย กลีบดอกมี 8 กลีบ ที่โคนกลีบเชื่อมกันเล็กน้อย กลีบดอกแต่ละกลีบจะมีส่วนยื่นออกมาด้านหลัง 2 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นจะมีลักษณะ ขนาด และสีคล้ายคลึงกับกลีบดอกมาก ดอกมีเกสรตัวผู้สมบูรณ์ 8 ก้าน อับเรณูเป็นรูปใบหอกและยาวกว่าก้านชูอับเรณู เกสรตัวผู้เป็นหมัน 8 อัน และรังไข่มี 8 ช่อง เมื่อดอกใกล้โรยจะเป็นสีเหลืองอมสีน้ำตาล สามารถออกดอกได้ตลอดปี (ดอกมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบไปด้วย 3-hydroxy-4-phenyl-2-butanone 4.74%, 2-phenylethanol 37.80%, 2-phenylethyl acetate 7.16%, (E)-cinnamyl alcohol 13.72%, Methyl benzoate 13.40%, p-methyl-anisole 9.94%)

ดอกพิกุล

รูปดอกพิกุล

รูปพิกุล

  • ผลพิกุล ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ถึงรี ผิวผลมีลักษณะเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียวมีขนสั้นนุ่ม เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแสด ที่ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงติดคงทน ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร เนื้อในผลเป็นสีเหลืองมีรสหวานอมฝาดและมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด ลักษณะแบนรี แข็ง สีดำเป็นมัน ติดได้ตลอดปี(ผลและเมล็ดพบ Dihydro quercetin, Quercetin, Quercitol, Ursolic acid, สารในกลุ่มไตรเทอร์ปีน ซึ่งได้แก่ Mimusopane, Mimusops acid, Mimusopsic acid ส่วนเมล็ดพบสารไตรเทอร์ปีนซาโปนินได้แก่ 16-alpha-hydroxy Mi-saponin, Mimusopside A and B, Mi-saponin A และยังมีสารอื่น ๆ อีก ได้แก่ Alpha-spinasterol glucoside, Taxifolin)

ลูกพิกุล

เมล็ดพิกุล

สรรพคุณของพิกุล

  1. ใช้เป็นยาบำรุงโลหิต (ดอก, แก่น, แก่นที่ราก, ราก)
  2. แก่นที่รากและดอกแห้งใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ส่วนดอกสดใช้เข้ายาหอมช่วยบำรุงหัวใจเช่นกัน (ดอก, ขอนดอก, แก่นที่ราก)
  3. ช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น (ขอนดอก, ดอกแห้ง)
  4. ช่วยคุมธาตุในร่างกาย (เปลือกต้น)
  5. ช่วยแก้โลหิต (ดอก, ราก) ฆ่าพิษโลหิต (เปลือกต้น)
  6. ช่วยแก้เลือดตีขึ้นให้สลบไป แก้เลือดตีขึ้นถึงกับตาเหลือง (ใบ)
  7. ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย (ดอกแห้ง)
  8. ช่วยแก้หอบ (ดอกแห้ง)
  9. ช่วยแก้หืด (ใบ)
  10. แก่นใช้เป็นยาแก้ไข้ (แก่น, ผลดิบและเปลือก, ดอกแห้ง), แก้ไข้จับ แก้ไข้หมดสติ แก้ไข้คลั่งเพ้อ (ดอกแห้ง)
  11. ช่วยแก้อาการร้อนใน (ดอกแห้ง)
  12. ผลสุกใช้รับประทานแก้อาการปวดศีรษะ (ผลสุก, ดอกแห้ง)
  13. ดอกแห้งใช้ป่นทำเป็นยานัตถุ์ (ดอกแห้ง)
  14. ช่วยรักษาโรคคอ (เปลือกต้น)
  15. ผลสุกใช้รับประทานแก้โรคในลำคอและปาก (เปลือกต้น)
  16. ช่วยแก้อาการเจ็บคอ (ดอกแห้ง)
  17. เปลือกต้นใช้เป็นยาอมกลั้วคอล้างปาก แก้โรคเหงือกอักเสบ เหงือกบวม รำมะนาด (เปลือกต้น)
  18. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำเกลือช่วยแก้อาการปวดฟัน ช่วยทำให้ฟันแน่น แก้ฟันโยก ช่วยฆ่าแมงกินฟันที่ทำให้ฟันผุ (เปลือกต้น)
  19. ช่วยรักษาอาการปากเปื่อย (เปลือกต้น)
  20. ดอกแห้งช่วยขับเสมหะ แก้เสมหะ ละลายเสมหะ (ดอกแห้ง, ราก)
  21. รากและดอกใช้ปรุงเป็นยาแก้ลม (ระบบไหลเวียนทางโลหิต) ช่วยขับเสมหะที่เกิดจากลม (ราก, ดอก)
  22. ช่วยบำรุงปอด (ขอนดอก)
  23. ช่วยแก้อาการท้องเสีย ลงท้อง (ดอกสด, ดอกแห้ง, ผลดิบและเปลือก, เปลือกต้น, ราก)
  24. เมล็ดนำมาตำให้ละเอียด แล้วทำเป็นยาเม็ดสำหรับสวนทวารหรือทำเป็นยาเหน็บทวารเด็กเมื่อมีอาการท้องผูก ช่วยแก้โรคท้องผูก (เข้าใจว่าใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) (เมล็ด)[2],[4],[9]
  25. ช่วยขับลม (แก่นที่ราก)
  26. ช่วยรักษาไส้ด้วนไส้ลาม (ใบ)
  27. ใบมีสรรพคุณฆ่าพยาธิ (ใบ, แก่น) ช่วยแก้ตัวพยาธิ (ดอกแห้ง, เปลือกต้น, ราก)
  28. เมล็ดใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (เมล็ด)
  29. ใบช่วยรักษากามโรค ฆ่าเชื้อกามโรค (ใบ)
  30. ช่วยแก้ตกโลหิต (ดอกแห้ง, ราก])
  31. ขอนดอก (เนื้อไม้ที่ราลง มีสีน้ำตาลเข้มประขาว เรียกว่า "ขอนดอก") ใช้เป็นยาบำรุงตับ (ขอนดอก)
  32. ผลดิบและเปลือกเป็นยาฝาดมาน (ผลดิบและเปลือก, ดอกสด)
  33. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและตามร่างกาย (ดอก)
  34. ช่วยแก้อาการบวม (ดอกแห้ง, เปลือกต้น, ราก)
  35. ช่วยแก้เกลื้อน (กระพี้)ส่วนแก่นช่วยรักษากลากเกลื้อน (แก่น)
  36. ช่วยแก้ฝีเปื่อยพัง (ดอกแห้ง, ราก)
  37. ช่วยบำรุงครรภ์ของสตรี (ครรภ์รักษา) (ขอนดอก)
  38. ดอกพิกุลจัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งห้า" (ประกอบไปด้วยดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง), ตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเจ็ด" (เพิ่มดอกจำปาและดอกกระดังงา), ตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเก้า" (เพิ่มดอกลำดวนและดอกลำเจียก) ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ทำให้ชื่นใจ ช่วยแก้อาการวิงเวียน หน้ามืดตาลาย ช่วยแก้ลมกองละเอียด และช่วยบำรุงครรภ์ของสตรี หรือจะใช้เข้ายาผสมกับดอกไม้ชนิดอื่นที่มีกลิ่นหอมเพื่อทำบุหงาก็ได้ (ดอก)
  39. ดอกพิกุลจัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดจตุทิพยคันธา" (ประกอบไปด้วยดอกพิกุล รากชะเอมเทศ รากมะกล่ำเครือ เหง้าขิงแครง) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงหัวใจ แก้ลมปั่นป่วน แก้พรรดึก และแก้เสมหะ (ดอก)
  40. ดอกพิกุลจัดอยู่ใน "ตำรับยาเขียวหอม" ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ซึ่งเป็นตำรับยาที่ช่วยบรรเทาอาการไข้ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด และแก้พิษสุกใส (ช่วยบรรเทาอาการไข้จากหัดและสุกใส) (ดอก)
  41. ดอกพิกุลจัดอยู่ในตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน ช่วยแก้ลมจุกแน่นในอก ในผู้สูงอายุ ช่วยแก้ลมปลายไข้ (มีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องอืด ซึ่งเป็นอาการหลังจากการฟื้นไข้) (ดอก)
  42. ดอกพิกุลจัดอยู่ในตำรับยา "ยาหอมเทพจิตร" ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ลมกองละเอียด หรืออาการหน้ามืดตาลาย สวิงสวาย ใจสั่น และช่วยบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น (ดอก)

ประโยชน์ของพิกุล

  1. ผลพิกุลสามารถใช้รับประทานเป็นอาหารหรือผลไม้ของคนและสัตว์ได้ และยังช่วยดึงดูดสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกได้เป็นอย่างดี
  2. ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมเย็น นิยมนำมาใช้บูชาพระ
  3. น้ำจากดอกใช้ล้างปากล้างคอได้
  4. เนื้อไม้พิกุลสามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างทำเครื่องมือได้ เช่น ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี การขุดเรือทำสะพาน โครงเรือ ไม้คาน ไม้กระดาน วงล้อ ครก สาก ด้ามเครื่องมือ เครื่องมือทางการเกษตร ฯลฯ และยังใช้เนื้อไม้ในงานพิธีมงคลได้เป็นอย่างดี เช่น การนำมาทำเป็นด้ามหอกที่ใช้เป็นอาวุธ เสาบ้าน พวงมาลัยเรือ ฯลฯ
  5. เปลือกต้นพิกุลใช้สกัดทำสีย้อมผ้า
  6. เนื่องจากต้นพิกุลมีลักษณะของทรงต้นเป็นพุ่มใบทึบ มีความสวยงาม สามารถตัดแต่งรูปทรงได้ จึงนิยมนำมาใช้ปลูกเพื่อประดับอาคารและเพื่อให้ร่มเงา หรือจะใช้ปลูกตามบริเวณลานจอดรถ ริมถนนก็ดูสวยงามเช่นกัน อีกทั้งดอกยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย
  7. คนไทยโบราณมีความเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นพิกุลทองไว้ประจำบ้านจะส่งผลทำให้มีอายุยืนยาว เนื่องจากต้นพิกุลเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานและมีอายุยาวนาน อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเชื่อว่ามีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ และสำหรับการปลูกต้นพิกุลเพื่อเสริมสิริมงคลแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี (เนื่องจากพิกุลเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสุภาพตรี) และควรปลูกต้นพิกุลทองในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์หรือวันจันทร์ (การปลูกไม้วันเสาร์เป็นการปลูกเพื่อเอาคุณ) เพื่อจะช่วยป้องกันโทษร้ายต่าง ๆ
  8. ดอกมีกลิ่นหอมเย็น สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยได้ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการแต่งกลิ่นอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม ใช้แต่งกลิ่นทำเครื่องสำอาง[

พระเจ้าห้าพระองค์

พระเจ้าห้าพระองค์

607ee68bc401150a81ee584a 800x0xcover 0mqeIHK6

(Paldao)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracontomelon dao (Blanco) Merr. & Rolfe
ชื่อวงศ์ ANACARDIACEAE
ชื่ออื่น โก ตะโก สะกวน ตะกู
ถิ่นกำเนิด จีนตอนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 15-30 ม. ขนาดทรงพุ่ม 10-15 ม. ผลัดใบ ทรงพุ่มกลมกว้าง โคนต้นเป็นพูพอน เปลือกต้น สีนํ้าตาลแดงหรือสีเทาอมน้ำตาล ค่อนข้างเรียบ หรือหลุดลอกออกเป็นแผ่นๆ

ESROK5TMJY1J46Z7S8AWU4OQQQRKH6
ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียนสลับ แกนกลางใบ ประกอบยาว 40-60 ซม. ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ใบย่อย 6-9 คู่ เรียงตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย รูปขอบขนาน กว้าง 4-6 ซม. ยาว 10-12 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบเบี้ยว แผ่นใบค่อนข้างหนา และเหนียว ย่นเป็นลอน สีเขียวเข้มเป็นมัน ผิวใบด้านล่าง มีขนนุ่ม ปกคลุมประปราย


ดอก สีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงที่ซอกใบ ใกล้ปลายกิ่งและปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งยาว 30-40 ซม. ดอกย่อยรูปคนโท กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยม โคนเชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ ซ้อนกัน กลีบแคบปลายโค้งกลับไปข้างหลัง เกสรเพศผู้สีเหลือง 10 อัน เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 0.4-0.6 ซม. ออกดอกเดือน ก.พ.-มี.ค.
ผล ผลสดแบบมีเนื้อหลายเมล็ด ผลทรงกลม มีรอย 5 รอย เป็นวงแหวนรอบผลตามขวาง เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4.5 ซม. สีเขียว เมื่อสุกสีน้ำตาลอมเหลือง ชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง มีรอยบุ๋ม 5 รอย คล้ายรูปพระ 5 องค์ ปลายมี 5 รู เท่ากับจำนวนเมล็ด เมล็ดรูปรี สีน้ำตาลเข้ม ติดผลเดือน เม.ย.-มิ.ย. ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
นิเวศวิทยา พบตามที่ราบชายป่าดิบและป่าดิบชื้น
การใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพร ผล ฝนกับหินลับมีด หรือหินฝน ยาสมุนไพร ผสมกับน้ำให้ข้นแล้วเอาน้ำที่ฝนได้ทาบริเวณที่เป็นหิด เพื่อรักษา เปลือก เป็นยาแก้โรคบิด แก้ปวดท้อง