แก้วเจ้าจอม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Guaiacum officinale Linn
วงศ์ Zygophyllaceae
ชื่อสามัญ Lignum Vitage
ลักษณะ
แก้วเจ้าจอมเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง 10 - 15 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นคดงอ กิ่งก้านเป็นปุ่มเป็นปม ไม้เนื้อเเข็งมาก ต้นแตกใบพุ่มแผ่กว้างเหมาะเป็นไม้ปลูกในสนาม เปลือกของต้นสีเทาเข้ม กิ่งมีข้อพอง เห็นเป็นปุ่มๆทั่วไปใบ ประกอบแบบขนนกปลายคู่ มีใบย่อย 2 - 3 คู่ เรียงตรงข้ามคู่แกนกลางใบประกอบ ยาว 1 - 1.5 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาว 0.5 - 1.0 เซนติเมตร ใบย่อยไม่มีก้าน รูปไข่กลับ รูปไข่กว้างหรือรูปรีเบี้ยวเล็กน้อยมี 2 ชนิด คือ ใบย่อย 2 คู่ ออกดอกง่ายและชนิดใบย่อย 3 คู่ ออกดอกน้อยกว่าผิวของใบเป็นมันดอกเป็นดอกเดี่ยวสีฟ้าอมม่วงหรือสีฟ้าคราม และจะจางลงเมื่อใกล้โรยมีกลิ่นหอมผล มีเนื้อขนาดเล็ก รูปหัวใจกลับกดแบนลง สีเหลืองสดใส หรือส้มเมล็ดแข็งรูปไข่ เป็นต้นไม้นำเข้ามา
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปลูกอยู่ในวังสวนสุนันทา(ปัจจุบันคือสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา)
แก้วเจ้าจอม ก็มีคุณลักษณะเฉพาะ นั่นคือ โตช้า แต่ก็เป็นพันธุ์ไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงามโดยธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นในเรื่องการตัดแต่งทรงพุ่ม เรียกว่าเป็นเป็นพันธุ์ไม้ประดับที่มีมนต์เสน่ห์ที่ทรงพุ่มสวยงามตลอดปีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากพุ่มจะกลมอยู่เสมอ โดยไม่ต้องตัดแต่งแต่อย่างใด ต้องการแสงแดดเต็มวัน จึงไม่ควรปลูกใกล้กับพันธุ์ไม้ชนิดอื่น เพราะจะทำให้ต้นสูงชะลูดไม่ได้รูปทรง ความหนาแน่นของใบจะลดลงมาก แก้วเจ้าจอมมีความต้องการน้ำในระดับปานกลางเท่านั้น การรดน้ำมากหรือน้อยเกินไปจะไม่มีผลดีกับแก้วเจ้าจอม พาลใบจะร่วงเอาถ้าหากดูแลมากหรือน้อยเกินไป
ส่วนดอกนั้น จะออกเป็นช่วงๆตลอดปี แต่ช่วงฤดุหนาว ตั้งแต่ พฤศจิกายน –กุมภาพันธ์ จะออกดอกมากกว่าปกติ ดอกจะ เป็นช่อดอก กลีบดอกสีม่วง -คราม จำนวน 5-6 กลีบ เกสรสีเหลือง ดอกเท่าขนาดมะลิลา หรือเล็กกว่า ส่วนช่อนั้นจะใหญ่ตามระดับความเจริญงอกงามของลำต้น ต้นที่งามดี อาจจะช่อละประมาณ 30-50 ดอก เวลาบาน จะค่อยๆบาน และบานยาวนานจนกว่าจะบานครบทั้งดอก จึงทำให้มองเห็นว่ากลีบดอกของต้นแก้วเจ้าจอมนั้นมีหลายสี เช่น สีม่วง สีคราม สีฟ้า เป็นเพราะระยะเวลาในการบานไม่เท่ากัน ทำให้ดอกที่บานมาก่อน บานมานานกว่า เริ่มที่จะมีสีที่ซีดจาง แต่ก็ดีดูกลมกลืนไปอีกแบบ ถือว่าตรงนี้กลายเป็นเสน่ห์ของต้นแก้วเจ้าจอมก็ว่าได้
นอกจากลักษณะของดอกที่มีเอกลักษณ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดของต้นแก้วเจ้าจอม คือ มีอีกหลายสายพันธุ์นั่นคือ พันธุ์ 4 ใบ 6 ใบ และ 8ใบ แต่ที่นิยมปลูกกันมากคงเป็น 4 และ 6 ใบมากกว่า เนื่องจาก 8 ใบนั้นเจริญเติบโตช้ากว่ามาก ส่วนดอกนั้นก็เช่นกัน เมื่อครบเวลา 5 ปี ต้นแก้วเจ้าจอม 4 ใบ และ 6 ใบ ก็จะออกดอก แต่ 8 ใบ อาจจะใช้เวลามากกว่านั้น ต้องขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นไม้ด้วยจุดเด่นที่สำคัญของต้นแก้วเจ้าจอม คงไม่ใช่ดอกที่สวยงาม แต่คงเป็นทรงพุ่มที่ดูมีเสน่ห์โดยไม่ต้องแต่งกิ่ง ไม่ว่าต้นแก้วเจ้าจอมสายพันธุ์ใดก็ยังคงลักษณะเด่นอันนี้ไว้ คือ ต้นจะเป็นพุ่มกลมอยู่เสมอ ส่วนการขยายพันธุ์นั้น นิยมเพาะเมล็ดเพียงอย่างเดียว เพราะพันธุ์ไม้ต้นนี้หากต้องการที่พุ่มสวย แต่การขยายพันธุ์อื่นที่นิยมก็มี เช่น ทางการตอน การต่อกิ่ง ก็ติดได้ยากมาก เพาะเมล็ดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี กว่าจะได้ชมดอกสีครามสวยๆ ประโยชน์อย่างหนึ่งที่คนทั่วไปไม่รู้นั่นคือ เนื้อไม้เป็นไม้ที่หนักที่สุดในโลก แก่นไม้มีลักษณะสีน้ำตาลอมเขียวถึงดำ กระพี้ มีสีเหลืองอ่อน เนื้อไม้แข็งมาก เป็นมัน คุณสมบัติของเนื้อไม้มีลักษณะเป็นเส้นประสานกันแน่น และหนักมาก ไม้ชนิดนี้จมน้ำ ทนต่อแรงอัด และน้ำเค็ม จึงนิยมนำมาใช้ทำกรอบประกับเพลาเรือเดินทะเล หรือกรอบประกับเพลาเครื่องจักรในโรงงานต่างๆ ทำสิ่ว และนำมากลึงทำของใช้ต่างๆ เช่น ทำลูกโบว์ลิ่ง ทำรอก เป็นต้นแก้วเจ้าจอม มีสรรพคุณในด้านสมุนไพรดังนี้
-ใช้รักษา รูมาติซัมเรื้อรัง โรคไขข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคเกาต์ ใช้เป็นยาตรวจครบเลือดในนิติเวชวิทยา เรียกว่า Gum Guaiacum แถบอเมริกาใต้ อินเดีย อินเดียตะวันตกและฟลอริดา
- ยางไม้ ใช้เป็นยาขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ซับเหงื่อ แก้ข้ออักเสบ หรือทำเป็นยาอมแก้หลอดลมอักเสบ
- ใบ ใช้คั้นน้ำ กินแก้อาการท้องเฟ้อ
- เปลือก เป็นยาระบาย
- ดอก ทำผงชา เป็นยาบำรุงกำลังที่มา