• product
  • service2
  • กองทุน
  • coffee-banner
  • scb banner11

ข่าวประชาสัมพันธ์

สินค้าและโปรโมชั่น

แก้วเจ้าจอม

แก้วเจ้าจอม

ชื่อวิทยาศาสตร์ Guaiacum officinale Linn
วงศ์   Zygophyllaceae

ชื่อสามัญ Lignum Vitage

ลักษณะ
แก้วเจ้าจอมเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง 10 - 15 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นคดงอ กิ่งก้านเป็นปุ่มเป็นปม ไม้เนื้อเเข็งมาก ต้นแตกใบพุ่มแผ่กว้างเหมาะเป็นไม้ปลูกในสนาม เปลือกของต้นสีเทาเข้ม กิ่งมีข้อพอง เห็นเป็นปุ่มๆทั่วไปใบ ประกอบแบบขนนกปลายคู่ มีใบย่อย 2 - 3 คู่ เรียงตรงข้ามคู่แกนกลางใบประกอบ ยาว 1 - 1.5 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาว 0.5 - 1.0 เซนติเมตร ใบย่อยไม่มีก้าน รูปไข่กลับ รูปไข่กว้างหรือรูปรีเบี้ยวเล็กน้อยมี 2 ชนิด คือ ใบย่อย 2 คู่ ออกดอกง่ายและชนิดใบย่อย 3 คู่ ออกดอกน้อยกว่าผิวของใบเป็นมันดอกเป็นดอกเดี่ยวสีฟ้าอมม่วงหรือสีฟ้าคราม และจะจางลงเมื่อใกล้โรยมีกลิ่นหอมผล มีเนื้อขนาดเล็ก รูปหัวใจกลับกดแบนลง สีเหลืองสดใส หรือส้มเมล็ดแข็งรูปไข่ เป็นต้นไม้นำเข้ามา
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปลูกอยู่ในวังสวนสุนันทา(ปัจจุบันคือสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา)

แก้วเจ้าจอม ก็มีคุณลักษณะเฉพาะ นั่นคือ โตช้า แต่ก็เป็นพันธุ์ไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงามโดยธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นในเรื่องการตัดแต่งทรงพุ่ม เรียกว่าเป็นเป็นพันธุ์ไม้ประดับที่มีมนต์เสน่ห์ที่ทรงพุ่มสวยงามตลอดปีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากพุ่มจะกลมอยู่เสมอ โดยไม่ต้องตัดแต่งแต่อย่างใด ต้องการแสงแดดเต็มวัน จึงไม่ควรปลูกใกล้กับพันธุ์ไม้ชนิดอื่น เพราะจะทำให้ต้นสูงชะลูดไม่ได้รูปทรง ความหนาแน่นของใบจะลดลงมาก แก้วเจ้าจอมมีความต้องการน้ำในระดับปานกลางเท่านั้น การรดน้ำมากหรือน้อยเกินไปจะไม่มีผลดีกับแก้วเจ้าจอม พาลใบจะร่วงเอาถ้าหากดูแลมากหรือน้อยเกินไป

ส่วนดอกนั้น จะออกเป็นช่วงๆตลอดปี แต่ช่วงฤดุหนาว ตั้งแต่ พฤศจิกายน –กุมภาพันธ์ จะออกดอกมากกว่าปกติ ดอกจะ เป็นช่อดอก กลีบดอกสีม่วง -คราม จำนวน 5-6 กลีบ เกสรสีเหลือง ดอกเท่าขนาดมะลิลา หรือเล็กกว่า ส่วนช่อนั้นจะใหญ่ตามระดับความเจริญงอกงามของลำต้น ต้นที่งามดี อาจจะช่อละประมาณ 30-50 ดอก เวลาบาน จะค่อยๆบาน และบานยาวนานจนกว่าจะบานครบทั้งดอก จึงทำให้มองเห็นว่ากลีบดอกของต้นแก้วเจ้าจอมนั้นมีหลายสี เช่น สีม่วง สีคราม สีฟ้า เป็นเพราะระยะเวลาในการบานไม่เท่ากัน ทำให้ดอกที่บานมาก่อน บานมานานกว่า เริ่มที่จะมีสีที่ซีดจาง แต่ก็ดีดูกลมกลืนไปอีกแบบ ถือว่าตรงนี้กลายเป็นเสน่ห์ของต้นแก้วเจ้าจอมก็ว่าได้

นอกจากลักษณะของดอกที่มีเอกลักษณ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดของต้นแก้วเจ้าจอม คือ มีอีกหลายสายพันธุ์นั่นคือ พันธุ์ 4 ใบ 6 ใบ และ 8ใบ  แต่ที่นิยมปลูกกันมากคงเป็น 4 และ 6 ใบมากกว่า เนื่องจาก 8 ใบนั้นเจริญเติบโตช้ากว่ามาก ส่วนดอกนั้นก็เช่นกัน เมื่อครบเวลา 5 ปี ต้นแก้วเจ้าจอม 4 ใบ และ 6 ใบ ก็จะออกดอก แต่ 8 ใบ อาจจะใช้เวลามากกว่านั้น ต้องขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นไม้ด้วยจุดเด่นที่สำคัญของต้นแก้วเจ้าจอม คงไม่ใช่ดอกที่สวยงาม แต่คงเป็นทรงพุ่มที่ดูมีเสน่ห์โดยไม่ต้องแต่งกิ่ง ไม่ว่าต้นแก้วเจ้าจอมสายพันธุ์ใดก็ยังคงลักษณะเด่นอันนี้ไว้  คือ ต้นจะเป็นพุ่มกลมอยู่เสมอ  ส่วนการขยายพันธุ์นั้น นิยมเพาะเมล็ดเพียงอย่างเดียว เพราะพันธุ์ไม้ต้นนี้หากต้องการที่พุ่มสวย แต่การขยายพันธุ์อื่นที่นิยมก็มี เช่น ทางการตอน การต่อกิ่ง ก็ติดได้ยากมาก เพาะเมล็ดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี กว่าจะได้ชมดอกสีครามสวยๆ      ประโยชน์อย่างหนึ่งที่คนทั่วไปไม่รู้นั่นคือ เนื้อไม้เป็นไม้ที่หนักที่สุดในโลก  แก่นไม้มีลักษณะสีน้ำตาลอมเขียวถึงดำ  กระพี้ มีสีเหลืองอ่อน  เนื้อไม้แข็งมาก  เป็นมัน  คุณสมบัติของเนื้อไม้มีลักษณะเป็นเส้นประสานกันแน่น  และหนักมาก  ไม้ชนิดนี้จมน้ำ  ทนต่อแรงอัด  และน้ำเค็ม  จึงนิยมนำมาใช้ทำกรอบประกับเพลาเรือเดินทะเล  หรือกรอบประกับเพลาเครื่องจักรในโรงงานต่างๆ  ทำสิ่ว  และนำมากลึงทำของใช้ต่างๆ  เช่น  ทำลูกโบว์ลิ่ง  ทำรอก  เป็นต้นแก้วเจ้าจอม มีสรรพคุณในด้านสมุนไพรดังนี้
-ใช้รักษา รูมาติซัมเรื้อรัง โรคไขข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคเกาต์ ใช้เป็นยาตรวจครบเลือดในนิติเวชวิทยา เรียกว่า Gum Guaiacum แถบอเมริกาใต้ อินเดีย อินเดียตะวันตกและฟลอริดา
- ยางไม้ ใช้เป็นยาขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ซับเหงื่อ แก้ข้ออักเสบ หรือทำเป็นยาอมแก้หลอดลมอักเสบ
- ใบ ใช้คั้นน้ำ กินแก้อาการท้องเฟ้อ
- เปลือก เป็นยาระบาย
- ดอก ทำผงชา เป็นยาบำรุงกำลังที่มา

เพลิงภาณุ

เพลิงภาณุ

Brachychiton acerifolius Illawarra Flame Tree เพลิงภานุ แดงออสเตรเลีย

เพลิงภาณุ หรือ Flame treeเป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดจาก พื้นที่ป่าฝนร้อนชื้นในแถบชายฝั่งด้านตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย เมื่อออกดอกจะมีสีแดงบานเต็มต้นโดดเด่นเห็นแต่ไกล จึงได้ชื่อว่า Flame Tree
ด้วยความงามของต้นและดอก จึงมีผู้ขยายพันธุ์นำไปปลูกในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก แต่ไม่ว่าจะเจริญเติบโตในพื้นที่ใด ไม้ต้นนี้ก็ยังคงสร้างความปิติให้แก่พื้นที่ที่ปลูกด้วยการออกดอกสวยงาม คล้ายดวงเทียนสีแดงสดสว่างไสว ไม่ว่าจะในป่าลึกหรือบนยอดภูเขาสูงทุกปีในช่วงก่อนวันคริตส์มาส

ไม้ต้นนี้ มีชื่อเสียงขจรกระจายด้วยทรงต้นสูงที่ปกคลุมด้วยช่อดอกที่ประกอบด้วยดอก เล็กๆทรงกระดิ่งสีแดงไปทั้งต้น โดยปราศจากใบ รู้จักกันดีในชื่อ ภาษาอังกฤษว่า Illawarra Flame Tree หรือบางคนเรียกสั้นๆว่า Flame Tree บางท้องถิ่นเรียกอีกชื่อว่า Kurrajong ในเมืองไทย มีผู้ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ เพลิงภาณุ” บางคนเรียกว่า “ เปลวพระเพลิง”
ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Brachychlton acerifollus เป็นไม้ในวงศ์ Stercullaceae ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับต้นขวดที่มีลำต้นอวบ

มีคนกล่าวว่าไม้ต้นนี้พบครั้งแรกแถบภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ที่ Cape York รัฐ New South Wales แต่มีคำยืนยันที่แน่นหนาอีกว่า ไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ดั้งเดิมของเมือง Illawara Range ที่มีอากาศแห้งแล้งกว่า (จึงมีชื่อตามถิ่นที่พบ)

Illawara Flame Tree มีชื่อเสียงว่าเป็นไม้แบบ evergreen คือเขียวตลอดปี จนถึงช่วงออกดอกคือในช่วงก่อนคริตส์มาส ใบอันใหญ่โตก็จะเริ่มเหลืองคล้ายต้นเมเปิ้ล และร่วงหลุดไปหมดต้น และดอกช่อใหญ่สีแดงเพลิงก็จะออกมาแทนที่ ดังนั้นชาวไร่ในชนบทของออสเตรเลียจึงนิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วแสดงเขตพื้นที่ และเป็นแนวสองข้างทาง

ไม้ชนิดนี้ปลูกได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่นมีแสงแดดส่องตรง ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนระบายน้ำได้ดี เป็นต้นไม้ที่อดทนต่อทุกสภาพอากาศ ทั้งร้อนชื้นและแห้งแล้ง สามารถปลูกในเขตที่มีอากาศหนาวเย็นได้ แต่จะมีผลต่อการออกดอก เพราะจะทำให้ออกดอกเป็นบางครั้ง หรือออกดอกเป็นบางส่วนของต้นเท่านั้น ที่สำคัญคือต้องทำที่กำบังลมและอากาศหนาวให้แก่ต้นไม้นี้ ต้นที่พบว่ามีอายุมากที่สุดพบในออสเตรเลียตอนใต้ มีอายุมากกว่า 75 ปี

ลักษณะของต้น เป็นไม้ยืนต้น โตเร็ว สูงโปร่งประมาณ 15 – 20 เมตร พื้นผิวของลำต้นมีสีน้ำตาลเทา กิ่งแตกแยกตรงออกจากลำต้น รูปทรงต้นสวยงาม เหมาะที่จะปลูกประดับสวน หรือกลางสนามหญ้ากว้างๆ ด้วยใบที่ใหญ่และเขียวตลอดปี จะให้ร่มเงาที่ดี 

มีใบใหญ่ เป็นแฉก 3-4 แฉกคล้ายใบเมเปิ้ล แต่ใหญ่กว่ามาก การพัฒนาของกลีบใบ เมื่ออายุการปลูกยังไม่มาก ใบจะมีแฉกน้อยกว่า 4 แฉก หรือมีแฉกไม่ชัดเจน ใบอ่อนสีเขียวอ่อน และเริ่มเขียวเข้ม พื้นผิวใบหนา มีเส้นกลางใบ เมื่อแก่จะกลายเป็นสีเหลืองและน้ำตาล ก่อนจะหลุดร่วง เมื่อฤดูออกดอกมาถึง

หลังจากปลูกประมาณ 5 ปีก็จะมีดอก ดอกมีลักษณะทรงกระดิ่ง พื้นผิวกลีบดอกเป็นมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้งมีลักษณะขรุขระ สีแดงเข้มสว่าง มี 5 กลีบแยกออกจากกันตรงปลายกลีบ ดอกยาวประมาณ 1-2 ซม. ภายในมีช่อเกสรเล็กๆสีเหลือง ก้านดอกสีแดงเหมือนสีของกลีบดอก ยาวประมาณ 3 ซม. ช่อดอกสีแดง หรือสีน้ำตางแดง ยาวประมาณ 10 ซม.

ลักษณะการออกดอก มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ บางต้น( ในบางปี )อาจจะออกดอกเพียงครึ่งต้น หรือข้างเดียว บางต้นออกดอกปีเว้นปี บางต้นไม่ออกดอกเลย แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยผิดพลาดหรือทำให้คนปลูกผิดหวังเพราะจะออกดอกมาให้ชม ทุกปี

ผลออกเป็นฝักยาว รูปเรือ แต่แบนและกว้างยาวประมาณ 10 ซม. ฝักมีสีน้ำตาลเข้ม มีเมล็ดสีเหลืองลักษณะแบนติดกับผนังของฝักอยู่ภายใน เมื่อแก่จะแตกออกเพื่อให้เมล็ดร่วงหล่นลงบนพื้น เมล็ดใช้เป็นอาหารของชนเผ่า อบิริจินี่ (Aborigines) ด้วยการนำมาคั่วหรืออบก่อนรับประทาน

กระทิง

กระทิง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกระทิง

กระทิง

กระทิง ชื่อสามัญ Alexandrian laurel, Beautiful-leaf, Bornero mahogany, Indian laurel

กระทิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Calophyllum inophyllum L. จัดอยู่ในวงศ์มังคุด (CLUSIACEAE หรือ GUTTIFERAE)

สมุนไพรกระทิง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เนาวกาน (น่าน), สารภีทะเล(ประจวบคีรีขันธ์), ทิง (กระบี่), สารภีแนน (ภาคเหนือ), นอ (ภาคอีสาน), กระทึง กากทึง กากะทิง กากระทึง (ภาคกลาง), กะทึง กาทึง ทึง (ภาคใต้), ไท่กวั๋อหงโฮ่วเขอ หูถง (จีนกลาง) เป็นต้น

ต้นกระทิง เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอินโดจีน (ไทย พม่า ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย อินเดีย ศรีลังกา) ในประเทศไทยมีต้นกระทิงอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกใบสีเขียว (Calophyllum inophyllum Linn.) ส่วนอีกชนิดจะเป็นใบสีแดง (Calophyllum polyanthum Wall. ex Choisy) แต่ไทยเรามักจะใช้ต้นกระทิงใบเขียวกันมากกว่า

ลักษณะของต้นกระทิง

  • ต้นกระทิง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ ไม่เป็นระเบียบ ลำต้นค่อนข้างสั้นและมักบิดแตกเป็นกิ่งใหญ่ ๆ จำนวนมากทั้งแนวนอนและแนวตั้งหรือห้อยลง มีความสูงของต้นประมาณ 8-20 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีแดงเข้ม ต้นเมื่อแก่จะแตกเป็นร่อง ภายในมียางสีเหลืองใส ๆ เปลือกด้านในเป็นสีชมพู ส่วนแก่นไม้เป็นสีน้ำตาลอมแดง ตายอดเป็นรูปกรวยคว่ำ มีขนสีน้ำตาลปนสีแดงอยู่ประปราย โดยต้นกระทิงเป็นไม้ที่ชอบแสงแดดจัด มักขึ้นตามป่าใกล้ชายทะเล ป่าดงดิบ พบได้มากทางภาคใต้ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง ชอบดินทรายระบายน้ำได้ดี แต่ขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด หากได้รับน้ำมากพอใบจะเป็นมันสวยงาม (สำหรับการตัดแต่งพันธุ์ไม้ชนิดนี้ควรระมัดระวังน้ำยางสีเหลืองจากต้นด้วย เพราะมีความเป็นพิษ)

ต้นกระทิง

ต้นสารภีทะเลเปลือกต้นกระทิง
  • ใบกระทิง ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรี หรือเป็นรูปไข่กลับแกมขอบขนาน โคนใบสอบ ปลายใบมนกว้างและมักหยักเว้าเล็กน้อย ใบมีความกว้างประมาณ 4-8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ใบเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อใบค่อนข้างหนาแข็งและเกลี้ยง ขอบใบเรียบและผิวมันเคลือบ ท้องใบเรียบเป็นสีอ่อนกว่า มีเส้นแขนงใบถี่มากและขนานกัน มองเห็นไม่ชัดเจน ส่วนเส้นกลางใบเป็นร่องทางด้านหลังใบ ใบอ่อนเป็นสีน้ำตาลแดง เมื่อแก่จะแห้งเป็นสีน้ำตาล และมีก้านใบยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร (เปลือกของต้นมีสารแทนนินอยู่ 19%)
ใบสารภีทะเลใบกระทิง
  • ดอกกระทิง ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่งและตามง่ามใบ ช่อละประมาณ 5-8 ดอก ดอกเป็นดอกเดี่ยวแยกกันอิสระ ดอกเป็นสีขาวมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ กลีบเลี้ยงดอกมี 4 กลีบ ยาวประมาณ 2.7-10 มิลลิเมตร โดยสองกลีบนอกจะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับและงอเป็นกระพุ้ง ยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร ส่วนอีกสองกลับถัดเข้าไปจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ส่วนกลีบดอกมี 4 กลีบ กว้างประมาณ 7-8 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 9-12 มิลลิเมตร ลักษณะเป็นรูปช้อนหรือรูปไข่กลับ ขอบงอ ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ลักษณะของดอกเป็นดอกตูมค่อนข้างกลมสีขาวนวล มีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก มีกลิ่นหอม เป็นแต้มสีเหลืองรอบ ๆ เกสรตัวเมียที่ชูพ้นเกสรตัวผู้

ดอกสารภีทะเล

ดอกกระทิง

  • ผลกระทิง ผลเป็นผลสดค่อนข้างกลมและฉ่ำน้ำ ผลมีลักษณะทรงกลมหรือเป็นรูปไข่และแข็ง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ปลายผลเป็นติ่งแหลม ผลสดสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่อผลแห้งจะย่นและเปลี่ยนเป็นสีออกน้ำตาลปนแดงอ่อน และภายในผลมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด เมล็ดมีเปลือกแข็ง (เมล็ดเมื่อนำมาบีบหรือสกัดด้วยตัวทำลายอินทรีย์จะให้น้ำมันสีเหลืองอมสีเขียวประมาณ 50-70% และมีกลิ่นที่ไม่ชวนดม หรือที่เรียกว่า Dill oil, Poppy seed oil และ Laurel oil นอกจากนี้ยังมีเรซินอีกด้วย)

กากะทิง

ผลกระทิง

สารภีทะเล

ผลสารภีทะเล

สรรพคุณของกระทิง

  1. ทั้งต้นมีรสเมาและฝาดเล็กน้อย ใช้เป็นยาสุขุม มีพิษเล็กน้อย (ทั้งต้น)
  2. ดอกมีรสหอมเย็น ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อาการการเต้นของหัวใจผิดปกติ และใช้ปรุงเป็นยาหอม (ดอก, ดอกและใบ)
  3. ดอกใช้เป็นยาชูกำลัง (ดอก)
  4. ใบมีรสเมาเย็น ช่วยแก้อาการตาแดง ตาฝ้า ตามัว และใช้ล้างตา โดยใช้ใบตำกับน้ำสะอาดล้างตา (ใบ)
  5. ยางมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน (ยาง)
  6. ยางจากต้นและเปลือกต้นใช้เป็นยาพอกทรวงอกแก้วัณโรคปอด (ยาง)
  7. ยางมีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ยาระบายอย่างรุนแรง (ยาง)
  8. ช่วยขับปัสสาวะ (ยาง)
  9. น้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาฝาดสมานภายนอก ใช้กับโรคริดสีดวงทวาร (ใบ)
  10. น้ำมันจากเมล็ดที่ทำให้บริสุทธิ์ใช้กินแก้โรคหนองใน (น้ำมันจากเมล็ดบริสุทธิ์)

มะม่วงน้ำดอกไม้

มะม่วงน้ำดอกไม้

►มะม่วงน้ำดอกไม้ (Barracuda Mango) เป็นผลไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เป็นทรงพุ่มทึบ ผลมีลักษณะรูปทรงรี ผิวเปลือกบาง ผลอ่อนมีสีเขียว มีรสชาติเปรี้ยวมาก มียางสีขาว ผลสุกมีสีเหลือง เนื้อสุกมีสีเหลือง มีเนื้อแน่นนุ่มฉ่ำน้ำ มีเนื้อมาก มีรสชาติหวานฉ่ำ มีกลิ่นหอม มีเมล็ดแข็งแบนบางรี สีขาวนวล อยู่ข้างในเนื้อ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย มีการปลูกในหลายประเทศที่มีอากาศร้อน มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นที่นิยมปลูกกันมาก มีการปลูกหลายสายพันธุ์ มีคุณประโยชน์และมีสรรพคุณ ทางยาหลายอย่าง นำมาเป็นผลไม้ใช้รับประทาน เมนูยอดฮิตที่หลายท่านรู้จักกันดีคือ ข้าวเหนียวมะม่วง ใช้ทำเครื่องดื่มต่างๆได้

มะม่วงน้ำดอกไม้ : Golden Mango,Yellow Mango
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mangifera indica Linn.
อยู่ในวงค์ : Anacardiaceae

มะม่วงน้ำดอกไม้ (Ma-Muang-Nam-Dok-Mai) เป็นผลไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เป็นทรงพุ่มทึบ ใบใหญ่ยาวรี ดอกเป็นช่อมีสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ผลมีลักษณะรูปทรงรี ผิวเปลือกบาง ผลอ่อนมีสีเขียว มีรสชาติเปรี้ยวมาก มียางสีขาว ผลสุกมีสีเหลือง เนื้อสุกมีสีเหลือง มีเนื้อแน่นนุ่มฉ่ำน้ำ มีเนื้อมาก มีรสชาติหวานฉ่ำ มีกลิ่นหอม จะมีเมล็ดแข็งแบนบางรี สีขาวนวล อยู่ข้างในเนื้อ มะม่วงน้ำดอกไม้ปลูกกันมาก มีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์4 มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง มะม่วงน้ำดอกไม้มัน เป็นต้น

ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เป็นทรงพุ่มทึบ มีกิ่งก้านขยายกว้าง ลำต้นมีลักษณะกลมๆ เป็นไม้เนื้อแข็ง มีเปลือกแข็ง มียางสีขาวทั่วลำต้น เปลือกต้นมีสีน้ำตาล

ราก เป็นระบบแก้ว มีลักษณะกลม แทงลึกลงในดิน มีรากแขนงและรากฝอยขนาดเล็กๆ แทงกระจาย บริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล

ใบ จะออกเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะทรงรี ใบใหญ่ยาวรีแหลม ผิวใบเรียบเป็นมัน ใบสีเขียวเข้ม

ดอก จะออกดอกเป็นช่อ ดอกมีสีขาวนวล มีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอม มีก้านดอกยาว ดอกจะออกตามปลายกิ่ง

ผล มีลักษณะรูปทรงรี โคนมนปลายรี ผิวเปลือกบาง ผลอ่อนมีสีเขียว มียางสีขาว มีรสชาติเปรี้ยวมาก ผลสุกมีสีเหลือง เนื้อสุกมีสีเหลือง มีเนื้อแน่นนุ่มฉ่ำน้ำ มีเนื้อมาก มีรสชาติหวานฉ่ำ มีกลิ่นหอม มีเมล็ดแข็งแบนบางรี สีขาวนวล อยู่ข้างในเนื้อ

เมล็ด มีลักษณะแบนบางรี จะอยู่ข้างในเนื้อ มีสีขาวนวล ผิวเปลือกหุ้มเมล็ดแข็งขรุขระ

ประโยชน์และสรรพคุณมะม่วงน้ำดอกไม้

มีวิตามินเอ มีวิตามินซี มีธาตุแคลเซียม มีฟอสฟอรัส มีวิตามินบี2 มีวิตามินบี3 มีวิตามินบี1 มีวิตามินบี5 มีวิตามินบี6 มีวิตามินบี9 มีโปรตีน มีธาตุเหล็ก มีธาตุแมกนีเซียม มีคาร์โบไฮเดรต มีเส้นใย มีโพแทสเซียม มีพลังงาน มีโซเดียม มีสังกะสี มีไขมัน มีแมงกานีส มีเบต้าแคโรทีน

ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยให้สดชื่น ช่วยบำรุงสายตา ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ แก้คลื่นไส้วิงเวียน แก้กระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน ช่วยป้องกันโรคคอตีบ แก้ไข้ ช่วยระบบขับถ่าย แก้ท้องผูก แก้ท้องอืด แก้โรคบิด ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบ ช่วยขับถ่ายพยาธิ ช่วยสมานแผล ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ช่วยบำรุงสมอง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย