• product
  • service2
  • กองทุน
  • coffee-banner
  • scb banner11

ข่าวประชาสัมพันธ์

สินค้าและโปรโมชั่น

ชัยพฤกษ์

ชัยพฤกษ์ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นชัยพฤกษ์

ชัยพฤกษ์

ชัยพฤกษ์ ชื่อสามัญ Javanese Cassia, Rainbow Shower, Pink and white shower, Common pink cassia

ชัยพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia javanica L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia javanica subsp. javanica)ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า เป็นชนิด Cassia javanica subsp. nodosa (Roxb.) K.Larsen & S.S.Larsen จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)

สมุนไพรชัยพฤกษ์ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขี้เหล็กยะวา, เหล็กยะวา เป็นต้น

หมายเหตุ : ดอกชัยพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดชัยนาท และยังจัดเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยกรุงเทพอีกด้วย

ลักษณะของชัยพฤกษ์

  • ต้นชัยพฤกษ์ จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ มีความสูงได้ประมาณ 15-25 เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปร่ม แผ่กว้าง ทรงพุ่มมีขนาดประมาณ 6-8 เมตร เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีน้ำตาล ต้นเล็กจะมีหนาม ส่วนต้นใหญ่จะมีรอยแผลปนหนามตามแนวขวาง[1] ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ชอบดินทรายและแสงแดดจัด มีถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซีย และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบขึ้นตามป่าทุ่ง ป่าโปร่ง และปลูกเลี้ยงอยู่ทั่วไป

ต้นชัยพฤกษ์

รูปชัยพฤกษ์

  • ใบชัยพฤกษ์ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อยประมาณ 7-12 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน แกนกลางใบประกอบยาวได้ประมาณ 15-30 เซนติเมตร ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบกลม ส่วนขอบใบเรียบ มีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวสด ผิวใบด้านล่างมีสีอ่อนกว่า และมีขนละเอียด เนื้อใบบางเกลี้ยงแต่ค่อนข้างเหนียว ก้านใบยาวประมาณ 1.5-4 เซนติเมตร ส่วนก้านใบย่อยมีขนาดสั้นมาก

ใบชัยพฤกษ์

  • ดอกชัยพฤกษ์ ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด ก้านช่อดอกใหญ่และแข็ง ไม่แตกแขนง ช่อดอกตั้ง ยาวได้ประมาณ 5-16 เซนติเมตร ดอกเป็นสีชมพู ดอกย่อยเป็นรูปดอกหางนกยูงจำนวนมาก ดอกย่อยมีก้านดอกเรียว ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงดอกมี 4 กลีบ ลักษณะของกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่ ปลายแหลม สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล ยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลับ มีขนาดกว้างประมาณ 7-8 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร โคนกลีบคอดเป็นก้าน ยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ 9-10 อัน สีเหลือง 3 อัน มีลักษณะยาวโค้ง ดอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร รังไข่เรียว มีขนปกคลุมบาง ๆ ดอกเมื่อเริ่มบานจะเป็นสีชมพู แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อดอกใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีขาว ออกดอกในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม

ดอกชัยพฤกษ์

  • ผลชัยพฤกษ์ ผลแห้ง ลักษณะเป็นฝักรูปทรงกระบอก ผิวฝักเรียบเกลี้ยงไม่มีขน ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร ฝักอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ฝักแก่จะไม่แตก ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 40-50 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลมแบน มีสีน้ำตาลเป็นมัน จะติดผลในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม

ผลชัยพฤกษ์

ฝักชัยพฤกษ์

เมล็ดชัยพฤกษ์

สรรพคุณของชัยพฤกษ์

  • ฝักมีรสหวานเอียน ใช้เป็นยาระบายพิษไข้ ใช้ถ่ายเสมหะ (ฝัก)
  • ฝักมีสรรพคุณเป็นยาแก้ตานขโมย (ฝัก)
  • เปลือกฝักและเมล็ด มีสรรพคุณทำให้อาเจียนและเป็นยาลดไข้ (เปลือกฝัก, เมล็ด)
  • ฝักหรือเนื้อในฝักใช้เป็นยาแก้พรรดึกหรืออาการท้องผูก เป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนในท้องหรือไซ้ท้อง จึงเหมาะใช้ในเด็ก สตรีมีครรภ์ และในผู้ป่วยเรื้อรัง (ฝัก)
  • เนื้อในฝักใช้เป็นยาขับพยาธิ (เนื้อในฝัก)
  • ใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ (ฝัก)
  • สรรพคุณของยาไทยโบราณกล่าวว่า ส่วนอื่น ๆ เสมอด้วยสรรพคุณของต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน)

ประโยชน์ของชัยพฤกษ์

  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เพื่อชื่นชมความงามของดอก
  • ต้นชัยพฤกษ์ จัดเป็นพรรณไม้มงคล เป็นต้นไม้แห่งชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่าง ๆ และชัยพฤกษ์ยังเป็นหนึ่งในเก้าไม้มงคลที่นำมาใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์และใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนอีกด้วย
  • สำหรับชาวไทย ช่อชัยพฤกษ์ประดับเป็นมงคลหลายที่ เช่น บนอินทรธนูข้าราชการ ประดับประกอบดาวบนอินทรธนู และในหมวกของทหารและตำรวจทั้งหลาย
  • นอกจากนี้ใบชัยพฤกษ์ยังใช้ประดิษฐ์เป็นพวงมาลัยสวมศีรษะ เพื่อเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่แก่กวีและนักดนตรีในสมัยโบราณอีกด้วย

 

  • ประโยชน์ของชัยพฤกษ์

    • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เพื่อชื่นชมความงามของดอก
    • ต้นชัยพฤกษ์ จัดเป็นพรรณไม้มงคล เป็นต้นไม้แห่งชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่าง ๆ และชัยพฤกษ์ยังเป็นหนึ่งในเก้าไม้มงคลที่นำมาใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์และใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนอีกด้วย
    • สำหรับชาวไทย ช่อชัยพฤกษ์ประดับเป็นมงคลหลายที่ เช่น บนอินทรธนูข้าราชการ ประดับประกอบดาวบนอินทรธนู และในหมวกของทหารและตำรวจทั้งหลาย
    • นอกจากนี้ใบชัยพฤกษ์ยังใช้ประดิษฐ์เป็นพวงมาลัยสวมศีรษะ เพื่อเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่แก่กวีและนักดนตรีในสมัยโบราณอีกด้วย

ยางนา

ยางนา สรรพคุณและประโยชน์ของต้นยางนา

ยางนา

ยางนา ชื่อสามัญ Yang

ยางนา ชื่อทางการค้า Yang, Gurjan, Garjan

ยางนา ชื่อวิทยาศาสตร์ Dipterocarpus alatus Roxb. ex G.Don (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Dipterocarpus gonopterus Turcz., Dipterocarpus incanus Roxb., Dipterocarpus philippinensis Foxw.) จัดอยู่ในวงศ์ยางนา (DIPTEROCARPACEAE)

สมุนไพรยางนา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ยางกุง (เลย), ยางควาย (หนองคาย), ชันนา ยางตัง (ชุมพร), ยางขาว ยางแม่น้ำ ยางหยวก (ภาคเหนือ), ยางใต้ ยางเนิน (ภาคตะวันออก), ยาง (ภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กาตีล (เขมร-ปราจีนบุรี), ขะยาง (ชาวบน-นครราชสีมา), จะเตียล (เขมร), เยียง (เขมร-สุรินทร์), จ้อง (กะเหรี่ยง), ทองหลัก (ละว้า), ราลอย (ส่วย-สุรินทร์), ลอยด์ (โซ่-นครพนม), ด่งจ้อ (ม้ง), เห่ง (ลื้อ) เป็นต้น

หมายเหตุ : ต้นยางนาเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดอุบลราชธานี

ลักษณะของยางนา

  • ต้นยางนา จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบหรือผลัดใบระยะสั้นขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นได้ถึง 50 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ โคนต้นมักเป็นพูพอน ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เปลือกต้นเกลี้ยงเป็นสีออกเทาอ่อน หลุดลอกออกเป็นชิ้นกลม ๆ เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลแดง เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ ส่วนตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนและมีรอยแผลใบเห็นได้ชัด ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด (เด็ดปีกออกก่อนนำไปเพาะ เมล็ดจะงอกภายในเวลา 12 วัน และภายในเวลา 7 เดือน ต้นกล้าจะมีความสูงได้ประมาณ 30-35 เซนติเมตร และพร้อมที่จะย้ายไปปลูกได้) เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินแทบทุกชนิด ชอบดินที่มีอินทรียวัตถุค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ความชื้นปานกลาง และแสงแดดแบบเต็มวัน (หลังต้นอายุ 1 ปี) มักขึ้นในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ตามที่ต่ำชุ่มชื้นใกล้แม่น้ำลำธารทั่วไป และตามหุบเขาทั่วทุกภาคของประเทศ ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 50-400 เมตร ส่วนในต่างประเทศพบได้ที่บังกลาเทศ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนามใต้ และมาเลเซีย

รูปต้นยางนา

ต้นยางนา

  • ใบยางนา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบสอบทู่ โคนใบกว้าง ส่วนขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 6-14 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12.5-25 เซนติเมตร เนื้อใบหนาและเหนียว ย่นเป็นลอน แผ่นใบมีขนขึ้นปกคลุม ด้านท้องใบมีขนสั้น ๆ รูปดาว ใบอ่อนมีขนสีเทา ส่วนใบแก่เกลี้ยงหรือเกือบเกลี้ยง ก้านใบยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร มีขนขึ้นประปราย และมีหูใบขนาดใหญ่

ใบยางนา

  • ดอกยางนา ออกดอกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ แบบช่อกระจะ ตามง่ามใบตอนปลายกิ่ง ดอกมีขนาดประมาณ 4 เซนติเมตร เป็นสีชมพูอ่อน มีช่อละ 4-5 ดอก ดอกขนาดใหญ่เรียงตัวหลวม ๆ เป็นช่อห้อยลงถึง 12 เซนติเมตร ที่ก้านช่อมีขน กลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบมนและบิดเวียน โคนกลีบดอกชิดกัน ชั้นกลีบเลี้ยงที่โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย มีครีบตามยาว 5 ครีบ ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก แบ่งเป็นแฉกสั้น 3 แฉก และแฉกยาว 2 แฉก มีขนสั้น ๆ สีน้ำตาลขึ้นปกคลุม ดอกมีเกสรเพศผู้มากกว่า 25 อัน ก้านชูอับเรณูสั้น ปลายอับเรณูมีรยางค์ลักษณะเป็นรูปเส้นด้าย รังไข่มีขน ก้านเกสรเพศเมียอ้วนและมีร่อง ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน

ดอกยางนา

  • ผลยางนา ผลเป็นแผลแห้ง ลักษณะของผลเป็นรูปกระสวย มีหลอดกลีบเลี้ยงหุ้มขนมิด ยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร มีปีกขนาดใหญ่ที่พัฒนามาจากกลีบเลี้ยง 2 อัน มีสีแดงอมชมพู ขนาดกว้างประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 11-15 เซนติเมตร ผลเมื่อสุกจะเป็นสีน้ำตาล เส้นปีกตามยาวมี 3 เส้น ปักสั้น 3 ปีก ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนกลางผลมีครีบตามยาว 5 ครีบ ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.2-2.8 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีขนสั้นนุ่ม ที่ปลายมีติ่งแหลม ติดผลในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม

รูปยางนา

ผลยางนา

  • น้ำมันยางนา น้ำมันยางเป็นของเหลวข้น มีกลิ่นเฉพาะ เป็นน้ำยางที่ได้จากการเจาะโพรงเข้าไปในต้นยางนาแล้วเอาไฟลน น้ำยางจะไหลลงมาขังในแอ่งที่เจาะไว้ ซึ่งน้ำมันยางที่ได้จะเรียกว่า "Gurjun Balsam" หรือ "Gurjun oil" เมื่อนำไปกลั่นด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยง่ายร้อยละ 70 มีองค์ประกอบเป็น alpha-gurjunene และ β-gurjunene

น้ำมันยางนา

สรรพคุณของยางนา

  • ตำรายาไทยจะน้ำต้มจากเปลือกเป็นยาบำรุงร่างกาย ฟอกเลือด บำรุงโลหิต แก้ตับอักเสบ และใช้ทาถูนวดขณะร้อน ๆ เป็นยาแก้ปวดตามข้อ (เปลือกต้น)
  • น้ำมันยางใช้ผสมกับเมล็ดกุยช่าย (Allium tuberosum Rottler ex Spreng.) นำมาคั่วให้เกรียม บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาอุดฟันแก้ฟันผุ (น้ำมันยาง)
  • เมล็ดและใบมีรสฝาดร้อน นำมาต้มใส่เกลือ ใช้อมแก้ปวดฟัน ฟันโยกคลอน (เมล็ด, ใบ)
  • ใช้น้ำมันยาง 1 ส่วน ผสมกับแอลกอฮอล์กิน 2 ส่วน แล้วนำมารับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้มุตกิดระดูขาวของสตรี หรือใช้จิบเป็นยาขับเสมหะก็ได้ (น้ำมันยาง)
  • ใบและยางมีรสฝาดขมร้อน ใช้รับประทานกินเป็นยาขับเลือด ตัดลูก (ทำให้เป็นหมัน)
  • น้ำมันยางดิบมีรสร้อนเมาขื่น มีสรรพคุณเป็นยาถ่ายหัวริดสีดวงทวารหนักให้ฝ่อ (น้ำมันยางดิบ)
  • น้ำมันยางจากต้นมีรสร้อนเมาขื่น มีสรรพคุณเป็นยาสมานแผล ห้ามหนอง ใช้เป็นยาทาแผลเน่าเปื่อย แผลมีหนอง แผลโรคเรื้อน แก้โรคหนองใน และเป็นยากล่อมเสมหะ (น้ำมันยาง)

ประโยชน์ของยางนา

  • น้ำมันยางจากต้นสามารถนำมาใช้โดยตรงเพื่อใช้ผสมชันไม้อื่น ๆ ใช้ยาเครื่องจักสานกันน้ำรั่ว ยาแนวเรือเพื่ออุดรอยรั่ว ทาไม้ ใช้ผสมขี้เลื่อยจุดไฟ หรือใช้ทำไต้จุดไฟส่องสว่าง (ของใช้สำหรับจุดไฟให้สว่าง หรือทำเป็นเชื้อเพลิง ทำด้วยไม้ผุหรือเปลือกเสม็ดคลุกกับน้ำมันยาง แล้วนำมาห่อด้วยใบไม้เป็นดุ้นยาว ๆ หรือใส่กระบอก)ใช้เดินเครื่องยนต์แทนน้ำมันขี้โล้ ใช้ทำน้ำมันชักเงา ฯลฯ หรือนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น สีทาบ้าน หมึกพิมพ์
  • น้ำมันยางเป็นอีกหนึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านก็ยังมีการเก็บหากันอยู่ แต่ก็ยังไม่พอใช้จนต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพิ่มเติม
  • เนื้อไม้ยางนาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ดี ยิ่งเมื่อนำมาอาบน้ำยาให้ถูกต้องก็จะช่วยทำให้มีความทนทานมากขึ้น สามารถนำไปใช้กับงานภายนอกได้ทนทานนับ 10 ปี ด้วยเหตุที่ไม้ยางนาเป็นไม้ขนาดใหญ่ เปลาตรง สูง และไม่ค่อยมีกิ่งก้าน การตัดไม้ยางนามาใช้จึงได้เนื้อไม้มาก โดยเนื้อไม้ที่ได้จะมีความแข็งปานกลาง สามารถนำมาเลื่อยไสกบตกแต่งให้เรียบได้ง่าย ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้ประโยชน์จากไม้ยางนากันมาตั้งแต่อดีต โดยนิยมนำมาเลื่อยทำเสาบ้าน รอด ตง ไม้พื้น ไม้ระแนง ไม้คร่าว โครงหลังคา ฝ้าเพดาน เครื่องเรือนต่าง ๆ ทำรั้วบ้าน ทำเรือขุด เรือขนาดย่อม แจว พาย กรรเชียง รวมไปถึงตัวถังเกวียน ถังไม้ หมอนรองรางรถไฟ ฯลฯ แต่ในปัจจุบันการใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ยางนาที่สำคัญคือการนำไปทำเป็นไม้อัดและแผ่นใยไม้อัด จนไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศบางส่วนด้วย
  • ลำต้นใช้ทำไม้ฟืน ถ่านไม้
  • ไม้ยางนาจะขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่มีเชื้อเห็ดราไมคอร์ไรซาส์ (Micorrhyzas) ซึ่งเป็นตัวเอื้อประโยชน์ในการเจริญเติบโต โดยเชื้อราเหล่านี้จะสร้างดอกเห็ดเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงฝนแรกของทุกปีจะมีดอกเห็ดหลายชนิดให้หาเก็บมารับประทานได้มากมาย เช่น เห็ดชะโงกเหลือง เห็ดเผาะ เห็ดน้ำหมาก เห็ดยาง เป็นต้น
  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามสองฝั่งถนน เพื่อความสวยงาม และปลูกเพื่อประโยชน์ทางด้านนิเวศ ให้ร่มเงา กำบังลม ให้ความชุ่มชื้น ควบคุมอุณหภูมิในอากาศ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ฯลฯ

 

พุด

พุด

%e0%b8%9e%e0%b8%b8%e0%b8%94

ชื่อวงศ์ : APOCYNACEAE

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabernaemontana divaricata (L.), R.Br. ex Roem. & Schult.

ชื่อพื้นเมืองอื่น : พุดป่า (ลำปาง) ; พุดจีบ, พุดซ้อน, พุดสวน, พุดสา (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลักษณะทั่วไป

           เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย ลำต้นสูง1-3 เมตร ผิวลำต้นมีสีขาวเทา แตกกิ่งก้านออกใบรอบต้นใบเป็นใบเดี่ยว แตกออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ตามข้อของกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปมนรี ปลายใบแหลม ผิวใบเรียบสีเขียวยาว 8-12 ซม. ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามปลายยอดหรือปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมี 5-6 ดอก แล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกมีกลิ่นหอมสีขาวหรือเรียงเป็นชั้นเดียวแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกบานมีความโต 2-5 ซม. ออกผลเป็นฝักรูปกระบอกแหลมโค้ง ภายในมีเมล็ด 3-5 เมล็ด

ไม้ต้นขนาดเล็ก (ST) ต้นสูงประมาณ 1.5-3 เมตร ทุกส่วนของลำต้นจะมีน้ำยางสีขาว แตกกิ่งก้านสาขามาก

ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกใบตรงข้าม ลักษณะใบรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม ก้านใบสั้น แผ่นใบสีเขียวเข้ม ท้องใบหรือใต้ใบสีเขียวอ่อน ผิวใบเป็นมัน

ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง 2-3 ดอก ดอกขนาดเล็กจะตูมเหมือนปลายพู่กัน กลีบดอกโคนเชื่อมกัน เป็นท่อเล็ก ๆ ปลายใบแยกเป็น 5 กลีบ มีสีขาว กลีบดอกบาง ออกดอกตลอดปี

ผล เป็นฝัก ยาวประมาณ 2.5-5 ซม. ปลายแหลมและโค้ง

นิเวศวิทยา

มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอินเดีย ในประเทศไทยเป็นไม้ที่ปลูกกันมากในทั่วทุกภาค ชอบแดดรำไร

การปลูกและขยายพันธุ์

เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือตอนกิ่ง

ประโยชน์ทางยา

รสและสรรพคุณในตำรายา

ราก รสเฝื่อน บำรุงร่างกาย ระงับอาการปวด แก้ปวดฟัน ขับพยาธิ

ลำต้น รสเฝื่อน คั้นเอาน้ำดื่มใช้ขับพยาธิ

เนื้อไม้ รสเฝื่อน เป็นยาเย็น ใช้ลดไข้

ใบ รสเฝื่อน โขลกกับน้ำตาล ชงดื่มแก้อาการไอ

ดอก รสเฝื่อน โขลกแล้วคั้นเอาแต่น้ำทาแก้โรคผิวหนัง

จันผา

จันผา สรรพคุณและประโยชน์จันผา 

(จันทร์ผา, จันทน์ผา, จันทน์แดง)

ดอกจันทร์ผา

จันผา ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena cochinchinensis (Lour.) S.C.Chen. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Dracaena loureiroi Gagnep. มักเขียนผิดเป็น Dracaena loureiri Gagnep.) ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย NOLINOIDEAE

สมุนไพรจันผา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จันทน์ผา (ภาคเหนือ), จันทน์แดง(ภาคกลาง, สุราษฎร์ธานี), ลักกะจันทน์ ลักจั่น (ภาคกลาง), จันทร์ผาลักกะจั่นจันทร์แดง เป็นต้น

ลักษณะของจันผา

  • ต้นจันผา จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง หรือเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 1.5-4 เมตร (ต้นโตเต็มที่อาจมีความสูงถึง 17 เมตร) เรือนยอดเป็นรูปทรงไข่ มีเรือนยอดได้ถึง 100 ยอด เมื่อต้นโตขึ้นจะแผ่กว้าง ลำต้นตั้งตรง กลม มีแผลใบเป็นร่องขวางคล้ายข้อถี่ ๆ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมสีเทา แตกเป็นร่องตามยาว ไม่มีกิ่งก้าน ใบจะออกตามลำต้น ส่วนแก่นไม้ด้านในเป็นสีแดง ต้นเมื่อมีอายุมากขึ้นแก่นจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง เราจะเรียกแก่นสีแดงว่า "จันทน์แดง" เมื่อแก่นเป็นสีแดงเต็มต้น ต้นก็จะค่อย ๆ โทรมและตายลง พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะกล้าจากเมล็ดหรือการแยกกอ ชอบดินปนทรายหรือหินที่มีการระบายน้ำดี ความชื้นปานกลาง และชอบแสงแดดเต็มวันและแสงรำไร มักพบขึ้นตามป่าภูเขาหินปูนสูง ๆ และมีแสงแดดจัด

จันทร์ผา

ต้นจันทร์ผา

  • ใบจันผา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันถี่ ๆ ที่ปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปยาวรีขอบขนาน หรือเป็นรูปแถบยาวแคบ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 45-80 เซนติเมตร เนื้อใบหนากรอบ โคนใบจะติดกับลำต้นหรือโอบคลุมลำต้น ไม่มีก้านใบ และมักจะทิ้งใบเหลือเพียงยอดเป็นพุ่ม

จันทน์ผา

  • ดอกจันผา ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด โค้งห้อยลง ออกดอกเป็นพวงใหญ่ตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อจะมีความยาวประมาณ 45-100 เซนติเมตร มีดอกย่อยขนาดเล็กและมีจำนวนมากมายหลายพันดอก ดอกเป็นสีขาวนวล หรือขาวครีม หรือเขียวอมเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม ตรงกลางดอกมีจุดสีแดงสด กลีบดอกมี 6 กลีบ ดอกมีขนาดประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้จำนวน 6 ก้าน ก้านเกสรมีความกว้างเท่ากับอับเรณู ส่วนก้านเกสรตัวเมียปลายแยกเป็นพู 3 พู ชั้นกลีบเลี้ยงเป็นหลอด ที่ปลายกลีบแยกเป็นพูแคบ ๆ 6 พู ไม่ซ้อนกัน โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม

จันผา

  • ผลจันผา ออกผลเป็นช่อพวงโต ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็กอยู่รวมกันเป็นพวง ผลมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียวอมสีน้ำตาล ส่วนผลแก่เป็นสีแดงคล้ำ ภายในผลมีเมล็ดเดียว โดยผลจะแก่ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน

จันทน์แดง

สรรพคุณของจันผา

  1. แก่นมีรสขมเย็น ช่วยบำรุงหัวใจ (แก่น, ทั้งต้น)
  2. แก่นที่มีเชื้อราลงจนทำให้แก่นเป็นสีแดงและมีกลิ่นหอมมีสีแดง (เรียกว่า จันทน์แดง) มีรสขมและฝาดเล็กน้อย ใช้สำหรับเป็นยาเย็นดับพิษไข้ แก้ไข้ได้ทุกชนิด และจากการทดลองในสัตว์พบว่าสารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ในการลดไข้ แต่ต้องใช้ในปริมาณมากกว่ายาแอสไพริน 10 เท่า และจะออกฤทธิ์ช้ากว่ายาแอสไพรินประมาณ 3 เท่า (แก่น, แก่นที่ราลง)
  3. ช่วยแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อดีพิการ (แก่น, เนื้อไม้)
  4. ช่วยแก้ไอ แก้อาการไออันเกิดจากซางและดี (แก่น, เนื้อไม้)
  5. เมล็ดใช้รักษาดีซ่าน (เมล็ด)
  6. ช่วยแก้อาจมไม่ปกติ (เมล็ด)
  7. ทั้งต้นช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ทั้งต้น)
  8. ช่วยแก้ซาง (แก่น)
  9. ช่วยแก้อาการเหงื่อตก อาการกระสับกระส่าย (แก่น)
  10. ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (แก่น ทั้งต้น)
  11. ช่วยแก้ดีพิการ แก้น้ำดีพิการ (แก่น, เนื้อไม้)
  12. ช่วยแก้บาดแผล รักษาบาดแผล (แก่น, ราก)
  13. แก่นใช้ฝนทาช่วยแก้อาการฟกบวม ฟกช้ำ ฝี บวม (แก่น)
  14. ช่วยแก้พิษฝีที่มีอาการอักเสบและปวดบวม (แก่น, ทั้งต้น)
  15. จันผาจัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดเบญจโลธิกะ” ซึ่งประกอบไปด้วยตัวยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณทำให้ชื่นใจ 5 อย่าง (แก่นจันผา, แก่นจันทน์ขาว, แก่นจันทน์ชะมด, ต้นเนระพูสี, ต้นมหาสะดำ) ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้เพื่อดี แก้ลมวิงเวียน กล่อมพิษทั้งปวง และช่วยแก้รัตตะปิตตะโรค (แก่น)
  16. จันผาจัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดจันทน์ทั้งห้า” (แก่นจันผา (แก่นจันทน์แดง), แก่นจันทน์ขาว, แก่นจันทนา, แก่นจันทน์เทศ, แก่นจันทน์ชะมด) ซึ่งเป็นตำรับที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้เพื่อโลหิตและดี ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยบำรุงตับปอดและหัวใจ และช่วยแก้พยาธิบาดแผล (แก่น)
  17. จันผาปรากฏอยู่ในตำรับยา “มโหสถธิจันทน์” อันประกอบไปด้วยจันทน์ทั้งสอง ได้แก่ จันทน์แดง (จันผา) และจันทน์ขาว ร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ อีก 13 ชนิด ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ทั้งปวงที่มีอาการตัวร้อนและมีอาการอาเจียนร่วมด้วยก็ได้ (แก่น)
  18. จันผาปรากฏอยู่ในตำรับ “ยาจันทน์ลีลา” อันประกอบไปด้วยจันทน์แดง (จันผา) ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ ซึ่งเป็นตำรับที่ใช้บรรเทาอาการไข้ตัวร้อนและไข้เปลี่ยนฤดู (แก่น)
  19. จันผาปรากฏอยู่ใน “ตำรับยาเขียวหอม” ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการไข้ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษสุกใส แก้พิษหัด บรรเทาอาการไข้จากหัดและสุกใส (แก่น)
  20. นอกจากนี้จันผาหรือจันทน์แดงยังปรากฏอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) อันได้แก่ ตำรับยา “ยาหอมนวโกฐ” และตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” โดยเป็นตำรับยาที่มีส่วนประกอบของจันผาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย ใจสั่น มีอาการคลื่นเหียนอาเจียน และช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง (แก่น)
  21. จันผาจัดอยู่ในตำรับ “ยาประสะจันทน์แดง” (ประกอบไปด้วยจันทน์แดง (จันผา) จำนวน 32 ส่วน รากมะนาว รากมะปรางหวาน รากเหมือนคน โกฐหัวบัว จันทน์เทศ ฝางเสน เปราะหอม อย่างละ 4 ส่วน ดอกมะลิ ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง อย่างละ 1 ส่วน นำมาบดเป็นผงสำหรับใช้เป็นยา)  ซึ่งตำรับยานี้มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ตัวร้อน และช่วยแก้กระหายน้ำ สำหรับวิธีใช้ให้นำผงยาที่ได้ (ผู้ใหญ่ให้ใช้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนกาแฟ ส่วนเด็กให้ใช้ครั้งละครึ่งช้อนกาแฟ) นำมาละลายในน้ำสุกหรือน้ำดอกมะลิ ใช้ดื่มทุก ๆ 3 ชั่วโมง (แก่น)

ประโยชน์ของจันผา

  • ต้นจันผาเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม อีกทั้งดอกยังมีกลิ่นหอม จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประธานในสวนหิน ใช้ปลูกเป็นกลุ่ม หรือปลูกประดับในอาคาร ตามสนามหญ้า สวนหย่อม ตามสระว่ายน้ำ หรือจะปลูกตามริมทะเลก็ได้ เพราะเป็นไม้ทนลมแรง ทนเค็ม แต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง
  • ส่วนของลำต้นที่เกิดบาดแผลนานเข้าจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงน้ำยาอุทัยได้