• product
  • service2
  • กองทุน
  • coffee-banner
  • scb banner11

ข่าวประชาสัมพันธ์

สินค้าและโปรโมชั่น

ปีบ

ปีบ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นปีบ

ปีบ

ปีบ ชื่อสามัญ Cork tree, Indian cork

ปีบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Millingtonia hortensis L.f. จัดอยู่ในวงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)

ต้นปีบ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), กาซะลอง กาสะลอง กาดสะลอง กาสะลองคำ (ภาคเหนือ), ปีบ ก้องกลางดง (ภาคกลาง) กางของ (ภาคอีสาน) เป็นต้น

ลักษณะของปีบ

  • ต้นปีบ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นตรง มีความสูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกต้นเป็นสีเทาเข้มแตกเป็นร่องลึก มีช่องอากาศ รากเกิดเป็นหน่อ เจริญเป็นต้นใหม่ได้ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการนำเมล็ดมาเพาะ หรือใช้ต้นอ่อนที่เกิดจากรากรอบ ๆ ของต้นแม่ นำมาตัดเป็นท่อนสั้น ๆ แล้วนำมาปักชำในกระบะกรวยที่ผสมด้วยขี้เถ้าแกลบก็ได้ ปีบเป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของพม่าและไทยที่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ต้นปีป

  • ใบปีบ ลักษณะของใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น มีความกว้างประมาณ 13-20 เซนติเมตรและยาวประมาณ 16-26 เซนติเมตร ก้านใบยาว 3.5-6 เซนติเมตร ที่ตัวใบจะประกอบไปด้วยแกนกลางยาวประมาณ 13-19 เซนติเมตร มีใบย่อย 4-6 คู่ กว้างประมาณ 2.5-3 เซนติเมตรและยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ลักษณะใบมีรูปร่างคล้ายรูปหอกแกมรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม ฐานใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบหยักเป็นซี่หยาบ ๆ เนื้อใบเกลี้ยงบางคล้ายกับกระดาษ

ใบปีบ

  • ดอกปีบ ลักษณะดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง มีความยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร ดอกย่อยจะประกอบไปด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียว ดอกมีกลิ่นหอม มีความกว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร เชื่อมกันเป็นหลอดปากแตร แยกออกเป็น 5 แฉก 3 แฉกรูปขอบขนาน 2 แฉกล่างค่อนข้างแหลม มีเกสรตัวผู้จำนวน 4 ก้าน สองคู่จะยาวไม่เท่ากัน และมีเกสรตัวเมียจำนวน 1 ก้าน อยู่เหนือวงกลีบ โดยดอกปีบจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม

ดอกปีบ

  • ผลปีบ ลักษณะเป็นผลแห้งแตก ผลแบนยาว ขอบขนาน มีเนื้อและเมล็ดจำนวนมาก เป็นแผ่นบางมีปีก

สรรพคุณของปีบ

  1. ดอกมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง (ดอก)
  2. ช่วยบำรุงโลหิต (ดอก)
  3. รากช่วยบำรุงปอด (ราก)
  4. ช่วยรักษาวัณโรค (ราก)
  5. ใช้เป็นยารักษาไซนัสอักเสบ (ดอก)
  6. ช่วยรักษาริดสีดวงจมูก ด้วยการใช้ดอกที่ตากแห้งแล้วนำมามวนเป็นบุหรี่สูบเพื่อรักษาอาการ (ดอก)
  7. ช่วยรักษาอาการหอบหืด หอบเหนื่อย ทำให้ระบบการหายใจดียิ่งขึ้นด้วยการใช้ดอกปีบแห้งประมาณ 6-7 ดอก แล้วมวนเป็นบุหรี่สูบ เพื่อรักษาอาการหอบหืดได้ (ราก, ดอก)
  8. ช่วยรักษาปอดพิการ (ราก)
  9. ใช้เป็นยาแก้ลม (ดอก)
  10. ใบใช้มวนเป็นบุหรี่สูบแทนฝิ่น เพื่อช่วยขยายหลอดลมและรักษาอาการหอบหืดได้เช่นกัน (ใบ)

ประโยชน์ของปีบ

  1. ดอกนำมาตากแห้งแล้วผสมกับยาสูบมวนบุหรี่ ใช้สูบทำให้ชุ่มคอ ทำให้ปากหอม และยังมีกลิ่นควันบุหรี่ที่หอมดีอีกด้วย
  2. ดอกช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดี (cholagogue) และเพิ่มรสชาติ (ดอก)
  3. ดอกปีบนำมาตากแห้ง นำมาชงใส่น้ำร้อนดื่มเป็นชาก็ได้ โดยดอกปีบชงนี้จะมีกลิ่นหอมละมุนอ่อน ๆ มีรสชาติหวานแบบนุ่มนวล ไม่ขม แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
  4. สารสกัดจากใบที่สกัดด้วยเอทานอลมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของคะน้า (ใบ)
  5. เนื้อไม้ของต้นปีบมีสีขาวอ่อน สามารถเลื่อยหรือไสกบเพื่อตกแต่งให้ขึ้นเงาได้ง่าย จึงเหมาะแก่การนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องตกแต่งภายในบ้านได้
  6. เปลือกของต้นปีบ เมื่อก่อนสามารถนำมาใช้แทนไม้ก๊อกสำหรับทุกจุกขวดได้
  7. ปีบเป็นไม้พุ่มมีใบและดอกสวย แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย จึงสามารถปลูกไว้ประดับสวน ปลูกเพื่อให้ร่มเงาในลานจอดรถหรือริมถนนข้างทาง และที่สำคัญต้นไม้ชนิดนี้ยังทนน้ำท่วมขังได้ดีอีกด้วย
  8. ดอกปีบเป็นสัญลักษณ์ของพยาบาลไทย โดยความหมายของต้นไม้ชนิดนี้ คือ เป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่นแก่ชีวิต ซึ่งหมายถึง "พยาบาล" และดอกปีบยังหมายถึงยาอายุวัฒนะ ซึ่งเปรียบเสมือนพยาบาลที่ให้การดูแลรักษาและส่งเสริมสุขภาพแก่คนทั่วไป ต้นปีบเป็นต้นไม้ที่โตเร็ว เกิดขึ้นได้ในป่าทุกชนิด สามารถช่วยสร้างเสริมธรรมชาติที่ชุบและดำรงชีวิตให้แก่มวลมนุษย์ตลอดกาล เช่นเดียวกับพยาบาล ที่จะเป็นการบริการสุขภาพที่มีความจำเป็นต่อสังคมตลอดไป (ดอกปีบยังเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดปราจีนบุรีและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาอีกด้วย)
  9. การปลูกต้นปีบเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน เชื่อว่าการปลูกไว้ประจำบ้านจะทำให้เก็บเงินเก็บทองได้มากขึ้น และยังทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย โดยควรปลูกต้นปีบไว้ในทางทิศตะวันตกและผู้ปลูกควรปลูกในเสาร์เพื่อเอาเคล็ด แต่ถ้าจะให้เป็นมงคลมากยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นผู้ที่เกิดในวันจันทร์ (ส่วนผู้อยู่อาศัยหากเกิดวันจันทร์ด้วยแล้วจะยิ่งเป็นสิริมงคลยิ่งนัก) เพราะปีบเป็นดอกไม้ประจำของนางโคราคะเทวี ซึ่งเป็นนางประจำวันจันทร์ในธิดาของพระอินทร์นั่นเอง

อินทนิล

อินทนิล สรรพคุณและประโยชน์ของต้นอินทนิลน้ำ

ดอกอินทนิลน้ำ

อินทนิลน้ำ ชื่อสามัญ Queen’s flower, Queen's crape myrtle, Pride of India, Jarul

อินทนิลน้ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. จัดอยู่ในวงศ์ LYTHRACEAE (เป็นคนละชนิดกับต้นอินทนิลบก ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lagerstroemia macrocarpa Wall.)

สมุนไพรอินทนิลน้ำ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ตะแบกดำ (กรุงเทพ), ฉ่วงมู ฉ่องพนา (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), บางอบะซา (นราธิวาส, มลายู-ยะลา), บาเย บาเอ (มลายู-ปัตตานี), อินทนิล (ภาคกลาง, ภาคใต้) เป็นต้น และยังเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดระนองและจังหวัดสกลนครอีกด้วย

ลักษณะของอินทนิลน้ำ

  • ต้นอินทนิลน้ำ เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เจริญเติบโตเร็วหากปลูกในที่เหมาะสม ต้นมีความสูงประมาณ 5-20 เมตร ลำต้นเล็กและมักคดงอ แต่พอใหญ่ขึ้นจะเปลา ตรง เป็นไม้ผลัดใบแต่ผลิใบใหม่ไว โคนต้นไม้ไม่ค่อยพบพูพอน มักมีกิ่งใหญ่แตกจากลำต้นสูงเหนือจากพื้นดินขึ้นมาไม่มาก จึงมีเรือนยอดที่แผ่กว้าง เป็นพุ่มลักษณะคล้ายรูปร่มและคลุมส่วนโคนต้นเล็กน้อยเท่านั้น (ถ้าเป็นต้นที่ขึ้นตามธรรมชาติในป่ามักจะมีเรือนยอดคลุมลำต้นประมาณ 9/10 ส่วนของความสูงของต้น) ส่วนผิวเปลือกต้นอินทนิลน้ำจะมีสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน มักจะมีรอยด่าง ๆ เป็นดวงขาว ๆ อยู่ทั่วไป ผิวเปลือกจะค่อนข้างเรียบ ไม่แตกเป็นร่องหรือเป็นรอยแผลเป็น เปลือกมีความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ที่เปลือกในจะออกสีม่วง นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มักพบขึ้นตามที่ราบลุ่มที่ชื้นแฉะทั่วไป รวมไปถึงบริเวณริมฝั่งแม่น้ำลำห้วย หรือในป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดงดิบของภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ แต่จะพบได้มากสุดตามป่าดงดิบทางภาคใต้ และยังพบในป่าพรุหรือป่าบึงในของภาคใต้อีกด้วย นอกจากนี้ต้นอินทนิลน้ำยังเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดระนองและจังหวัดสกลนครอีกด้วย

ต้นอินทนิลน้ำ

  • เนื้อไม้อินทนิลน้ำ เมื่อยังใหม่สดอยู่จะเป็นสีแดงเรื่อ ๆ หรือสีชมพูอ่อน พอนานเข้าจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมแดง เนื้อไม้ค่อนข้างละเอียด มีเสี้ยนตรง เป็นมันเลื่อม มีความแข็งแรงปานกลาง เหนียวและทนทาน ใช้เลื่อยไสกบตบแต่งง่าย ขัดเงาได้เป็นเงางาม
  • ใบอินทนิลน้ำ มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันหรือออกเยื้องกันเล็กน้อย ลักษณะของใบเป็นรูปทรงขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก มีความกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 11-26 เซนติเมตร ใบมีสีเขียว เนื้อใบค่อนข้างหนาและเกลี้ยงเป็นมันทั้งสองด้าน โคนใบบนหรือเบี้ยวเยื้องกันเล็กน้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ส่วนปลายใบเรียวและเป็นติ่งแหลม มีเส้นแขนงใบประมาณ 9-17 คู่ เส้นโค้งอ่อนและจรดกับเส้นถัดไป บริเวณใกล้ ๆ ขอบของเส้นใบย่อยจะเห็นไม่ค่อยชัดนัก ก้านใบยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เกลี้ยงและไม่มีขน

ใบอินทนิลน้ำ

  • ดอกอินทนิลน้ำ ดอกใหญ่มีหลายสี เช่น สีม่วงอมชมพู สีม่วงสด หรือม่วงล้วน ออกดอกรวมกันเป็นช่อใหญ่ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบตอนใกล้ ๆ ปลายกิ่ง มีความยาวถึง 30 เซนติเมตร ที่ส่วนบนสุดของดอกตูมจะมีตุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง ที่ผิวนอกของกลีบฐานดอกจะติดกันเป็นรูปถ้วยหรือรูปทรงกรวยหงาย จะมีสีสันนูนตามยาวเห็ดชัด และมีเส้นขนสั้น ๆ ปกคลุมอยู่ประปราย ดอกอินทนิลน้ำมีกลีบดอกบาง ลักษณะเป็นรูปช้อนที่มีโคนกลีบเป็นก้านเรียว ผิวกลีบจะเป็นคลื่น ๆ เล็กน้อย เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีรัศมีความกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร และมีรังไข่กลมเกลี้ยง จะเริ่มออกดอกได้เมื่อมีอายุประมาณ 4-6 ปี
  • ผลอินทนิลน้ำ ลักษณะเป็นรูปไข่เกลี้ยง ๆ กว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2-2.6 เซนติเมตร ที่ผิวของผลอินทนิลจะเรียบ ไม่มีขนปกคลุม ผลมีสีน้ำตาลแดง ผลเป็นผลแห้ง เมื่อแก่จะแยกออกเป็น 6 เสี่ยง และจะเผยให้เห็นเมล็ดเล็ก ๆ ที่มีปีกเป็นครีบบาง ๆ ทางด้านบน

ผลอินทนิลน้ำ

สมุนไพรอินทนิลน้ำ มีสรรพคุณที่โดดเด่นคือมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังช่วยลดไขมันและความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย ส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้แก่ ส่วนของใบ เปลือก ราก และเมล็ดอินทนิลน้ำ

สรรพคุณของอินทนิล

  1. ใบอินทนิลน้ำมีรสขมฝาดเย็น ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยใช้ใบแก่เต็มที่ประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำดื่มในตอนเช้า (ใบแก่)
  2. ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการสกัดสารจากใบอินทนิลน้ำด้วยแอลกอฮอล์ นำไปทำให้เข้มข้นจนได้สารสกัด 3 mg./ml. แล้วนำไปทำเป็นยาเม็ดขนาดเม็ดละ 250 mg. ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและมีภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่ลดลง (ใบ)
  3. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งได้มีการทดลองทั้งในประเทศไทย อินเดีย และฟิลิปปินส์ โดยใช้ส่วนของใบแก่เต็มที่ เมล็ด และเปลือกผลในการทดลอง ซึ่งพบว่ามันมีฤทธิ์เหมือนอินซูลิน (ใบแก่, เมล็ด, เปลือกผล)
  4. เมล็ดช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ (เมล็ด)
  5. ช่วยแก้ไข้ (เปลือก)
  1. รากมีรสขม ช่วยรักษาแผลในช่องปากและคอ (ราก)
  2. ช่วยแก้อาการท้องเสีย (เปลือก)
  3. ใช้เป็นยาสมานท้อง (ราก)
  4. แก่นมีรสขม ใช้ต้มดื่มรักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการได้ (ใบ, แก่น)
  5. ส่วนข้อมูลทางเภสัชวิทยาของอินทนิลน้ำ ได้แก่ ช่วยต้านไวรัส ยับยั้งเชื้อรา ช่วยลดอาการอักเสบ
  6. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด (ใบ, แก่น, เมล็ด) แต่ก่อนจะใช้ใบอินทนิลน้ำมารักษาโรคเบาหวาน ควรให้แพทย์ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหรือตรวจปัสสาวะก่อนว่า มีปริมาณน้ำตาลในเลือดอยู่เท่าใด เมื่อทราบปริมาณที่แน่นอนแล้วให้ปฏิบัติดังนี้
    • ให้ใช้ใบอินทนิลน้ำตากแห้งจำนวน 10% ของระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจได้ แล้วนำใบมาบีบให้แตกละเอียดและใส่น้ำดื่มเท่าปริมาณความต้องการที่ใช้ดื่มต่อวัน เทลงในหม้อเคลือบหรือหม้อดิน (ไม่ควรใช้หม้ออลูมิเนียมต้มยา) หลังจากนั้นเคี่ยวจนเดือดประมาณ 15 นาที
    • แล้วนำน้ำที่ได้จากการเคี่ยวมาชงใส่ภาชนะไว้ดื่มแทนน้ำตลอดวัน ทำแบบนี้ติดต่อกันประมาณ 20-30 วัน แล้วค่อยตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอีกครั้งหนึ่ง
    • เมื่อตรวจแล้วหากระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเหลือเท่าใดก็ให้ลดใบอินทนิลน้ำลงตามสูตรเดิม (ใช้ใบปริมาณ 10% ของระดับน้ำตาลในเลือด) แล้วก็นำมาเคี่ยวแทนน้ำดื่มทุก ๆ วันติดต่อกันประมาณ 15 วัน แล้วค่อยไปตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอีกครั้งหนึ่ง
    • ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงจนอยู่ในระดับปกติ และให้งดใช้อินทนิลน้ำชั่วคราว
    • แต่ถ้าหากระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นผิดปกติเมื่อใด ก็ให้รับประทานอินทนิลน้ำใหม่ สลับไปจนกว่าจะหายจากโรคเบาหวาน

ประโยชน์ของอินทนิลน้ำ

  • นิยมปลูกไว้เป็นไม้ริมทางและเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีดอกและใบที่สวยงาม ให้ร่มเงาและเจริญเติบโตเร็ว
  • ใบอ่อนนำมาตากแดดใช้ชงเป็นชาไว้ดื่มได้ ช่วยแก้เบาหวานและช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย จนได้มีการนำไปแปรรูปเป็นสมุนไพรอินทนิลน้ำแบบสำเร็จรูปในรูปแบบแคปซูลและแบบชงเป็นชา
  • เนื้อไม้อินทนิลน้ำเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง เพราะมีเนื้อไม้ที่แข็งแรง เหนียว และทนทาน ตกแต่งขัดเงาได้ง่าย โดยเนื้อไม้นิยมนำมาใช้ในการก่อสร้างต่าง ๆ ใช้ทำกระดาษ พื้น ฝา รอด ตง กระเบื้องไม้มุงหลังคา คานไม้ ไม้กั้น และส่วนประกอบอื่น ๆ และยังใช้ทำเรือใบ เรือแจว เรือเดินทะเล แจวพายเรือ กรรเชียง ไถ รถ ซี่ล้อ ตัวถังเกวียน ไม้นวดข้าว กระเดื่อง ครกสาก บ่อน้ำ ร่องน้ำ กังหันน้ำ หมอนรางรถไฟ ถังไม้ ลูกหีบ หีบศพ เปียโน ฯลฯ

 

หางนกยูง

หางนกยูง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นหางนกยูงไทย

หางนกยูงไทย

หางนกยูงไทย ชื่อสามัญ Barbados Pride, Dwarf poinciana, Flower fence, Paradise Flower, Peacock's crest, Pride of Barbados

หางนกยูงไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ Caesalpinia pulcherrima (L.) Sw. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)

สุมนไพรหางนกยูงไทย มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จำพอ ซำพอ (แม่ฮ่องสอน), ขวางยอย (นครราชสีมา), ชมพอ ส้มพอ ส้มผ่อ พญาไม้ผุ (ภาคเหนือ), นกยูงไทย (ภาคกลาง), หนวดแมว (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน, ฉานแม่ฮ่องสอน), หางนกยูง เป็นต้น

ลักษณะของหางนกยูงไทย

  • ต้นหางนกยูงไทย จัดเป็นไม้พุ่ม มีความสูงของต้นประมาณ 1-2.5 เมตร บ้างว่าสูงประมาณ 3-4 เมตร ลำต้นแตกกิ่งกานสาขามาก เรือนยอดโปร่งเป็นทรงพุ่มกลม ลำต้นมีขนาดเล็ก กิ่งก้านสาขาที่ยังอ่อนอยู่จะเป็นสีเขียว ส่วนกิ่งที่แก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ส่วนเปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ตามกิ่งก้านมีหนาม (บางพันธุ์ก็ไม่มีหนาม) ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่งและวิธีการเพาะเมล็ด ขึ้นได้ในดินทั่วไป จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ต้นหางนกยูงไทยมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ หมู่เกาะเวสต์อินดีส ในบ้านเราพบได้มากตามบ้านทั่วไปทั้งในเมืองและชนบท หรือตามสวนสาธารณะริมทางก็มีให้เห็นบ่อย ๆ

ต้นหางนกยูง

  • ใบหางนกยูงไทย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ลักษณะเป็นแผง ๆ ออกเรียงสลับ ใบย่อยมีประมาณ 6-12 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ปลายใบมน โคนใบมนเบี้ยว ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร ผิวด้านหลังใบมีสีเข้มกว่าด้านท้องใบ

ใบหางนกยูงไทย

  • ดอกหางนกยูงไทย ออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกบริเวณซอกใบ ปลายกิ่ง หรือตามส่วนปลายยอดของต้น ดอกย่อยจะมีจำนวนมาก ดอกมีหลายสีแยกไปตามสายพันธุ์ ได้แก่ สีส้ม สีแดงสีแดงประขาว สีชมพู สีชมพูแก่ สีเหลือง กลีบดอกมี 5 กลีบ ขอบกลีบดอกไม่เท่ากันหรือยับย่นเป็นเส้นเส้นลอนสีเหลือง ขอบกลีบดอกเป็นสีเหลือง มีเกสรอยู่กลางดอกเป็นเส้นงอนยาวโผล่พ้นเหนือดอกออกมา ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นเส้นยาวมี 10 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน มีรังไข่เหนือฐานรองดอก ก้านยอดเกสรเพศเมียเป็นสีแดงสดเหมือนก้านชูอับเรณู ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยก เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี

หางนกยูงดอกหางนกยูงไทยดอกหางนกยูง

  • ผลหางนกยูงไทย ออกผลเป็นฝักแบน ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร เมื่อฝักแก่แล้วจะแตกออก ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 8-10 เมล็ด เมล็ดมีรูปร่างกลม
ฝักหางนกยูงฝักหางนกยูงไทย

เมล็ดหางนกยูงไทย

สรรพคุณของหางนกยูงไทย

  1. ดอกหางนกยูงสีเหลืองสามารถนำมาต้มกับน้ำ แล้วใช้อมเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันได้ (ดอกของต้นดอกเหลือง)
  2. รากมีรสเฝื่อน นำมาต้มหรือฝนกินเป็นยาแก้วัณโรคในระยะที่สาม (การนำมาใช้เป็นยาโดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ต้นที่มีดอกสีแดง) (รากของต้นดอกแดง)
  3. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิ (เมล็ด)
  4. รากใช้ปรุงเป็นยาขับประจำเดือนของสตรี (รากของต้นดอกแดง)
  5. รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้บวม (ราก)

ประโยชน์ของหางนกยูงไทย

  1. เมล็ดในฝักสามารถนำมารับประทานได้ โดยแกะเอาเปลือกกับเมล็ดซึ่งมีรสฝาดทิ้งไป โดยเนื้อในเมล็ดจะมีรสหวานมันเล็กน้อย (เมล็ด)
  2. ดอกสามารถนำมาใช้บูชาพระได้
  3. นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะดอกมีความสวยงาม ปลูกได้ในดินทุกชนิดและยังมีความทนทาน ปลูกง่ายและขึ้นง่าย และยังเหมาะที่จะปลูกเป็นรั้ว เพราะหางนกยูงไทยบางสายพันธุ์จะมีหนามและกิ่งก้านเยอะ สามารถปลูกเกาะกลุ่มเป็นแนวได้ดี
  4. ในด้านความสำคัญทางเศรษฐกิจ สามารถปลูกเพื่อจำหน่ายต้นกล้าเพื่อเป็นไม้ประดับและจำหน่ายดอกเพื่อหารายได้เสริมให้ครอบครัวได้
  5. นอกจากนี้ยังใช้ใบนำมาวางตามห้องหรือใกล้ตัวเพื่อป้องกันแมลงหวี่ หรือใช้ใบแห้งนำมาจุดไฟให้มีควันเพื่อไล่แมลงหวี่ได้

 

กัลปพฤกษ์

กัลปพฤกษ์ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกัลปพฤกษ์

กัลปพฤกษ์

กัลปพฤกษ์ ชื่อสามัญ Wishing Tree, Pink Shower, Pink cassia, Pink and White Shower Tree

กัลปพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia bakeriana Craib (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia bakerana Craib) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAEหรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)

สมุนไพรกัลปพฤกษ์ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เปลือกขม (ปราจีนบุรี), แก่นร้าง (จันทบุรี), กานล์ (เขมร-สุรินทร์), กาลพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ (ภาคกลาง), กัลปพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคเหนือ) เป็นต้น

หมายเหตุ : กัลปพฤกษ์ เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดขอนแก่น

ลักษณะของกัลปพฤกษ์

  • ต้นกัลปพฤกษ์ จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงได้ประมาณ 5-15 เมตร มีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 12 เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง แต่ไม่หนาแน่นทึบ แตกกิ่งต่ำและทอดกิ่งยาวขึ้นสู่ด้านบน เปลือกต้นด้านนอกเรียบเป็นสีเทา ส่วนเนื้อไม้เป็นสีเหลืองถึงสีน้ำตาล บริเวณยอดและกิ่งอ่อนมีขนอ่อนขึ้นปกคลุมหนาแน่น นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการนำเมล็ดมาเพาะเป็นต้นกล้า ขึ้นได้ในดินทั่วไป สามารถขึ้นได้ในพื้นที่ที่ดินไม่ค่อยสมบูรณ์ ชอบความชื้นปานกลาง แสงแดดแบบเต็มวัน พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ในประเทศไทยพบขึ้นได้ตามป่าแดง ป่าโคก ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่วไป (บางครั้งพบอยู่บนเทือกเขาหินปูนที่แห้งแล้ง) ที่ระดับความสูงประมาณ 300-1,000 เมตร

ต้นกัลปพฤกษ์

รูปต้นกัลปพฤกษ์

  • ใบกัลปพฤกษ์ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงสลับ เป็นช่อยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร ก้านช่อใบยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีใบย่อยประมาณ 5-8 คู่ เรียงจากเล็กไปหาใหญ่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนานถึงรูปใบหอก ปลายใบกลม บางครั้งมีติ่งสั้น ๆ อยู่ตรงปลายสุด โคนใบบนและเบี้ยวเล็กน้อย ส่วนขอบใบเรียบ มีขนาดกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-9 เซนติเมตร แผ่นใบบาง เส้นแขนงใบมีข้างละ 7-9 เส้น เนื้อใบมีขนละเอียดนุ่มขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน โดยบริเวณด้านท้องใบจะมีขนขึ้นหนาแน่นมากกว่าด้านหลังใบ

ใบกัลปพฤกษ์

  • ดอกกัลปพฤกษ์ ออกดอกเป็นช่อกระจะตามกิ่งพร้อมกับแตกใบอ่อน ช่อดอกไม่แตกแขนง ยาวได้ประมาณ 5-10 เซนติเมตร มีขนสีเหลืองขึ้นปกคลุม ช่อดอกจะออกแน่นเป็นกลุ่มตลอดกิ่ง ก้านดอกยาวได้ประมาณ 4-6 เซนติเมตร ดอกมีใบประดับที่มีลักษณะเป็นรูปใบหอกชัดเจน มีขนาดกว้างประมาณ 7 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 0.7-1.2 เซนติเมตร เมื่อเริ่มบานดอกจะเป็นสีชมพู แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ จนถึงสีขาวเมื่อใกล้ร่วงโรย กลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปใบหอกแกมรูปไข่ ปลายกลีบแหลม มีขนาดกว้างประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 9-12 มิลลิเมตร มีขนนุ่มปกคลุมทั้งสองด้าน ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบเช่นกัน มีลักษณะเป็นรูปใบหอกแกมรูปไข่ ปลายมน โคนเรียวแคบ มีขนาดกว้างประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-5.5 เซนติเมตร ที่โคนกลีบดอกจะคอดเข้าหากันเป็นก้านแคบ ๆ ยาวได้ประมาณ 5 มิลลิเมตร กลางดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลือง เกสรเพศผู้มี 10 อัน มีขนาดไม่เท่ากัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกมี 3 อัน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร กลุ่มที่ 2 จะมี 4 อัน ก้านชูอับเรณูยาวเพียงครึ่งหนึ่งของกลุ่มแรก ส่วนกลุ่มที่ 3 มี 3 อัน อับเรณูมีขนาดเล็กมาก ก้านชูอับเรณูยาวได้ประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีรังไข่เรียวโค้งยาวประมาณ 4 เซนติเมตร มีขนสีขาวขึ้นปกคลุมบาง ๆ รังไข่ติดอยู่บนก้านส่ง เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร

รูปกัลปพฤกษ์

ดอกกัลปพฤกษ์

  • ผลกัลปพฤกษ์ ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปทรงกระบอกยาวแคบ สีน้ำตาล แขวนลงมาจากกิ่ง ฝักมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ฝักมีขนนุ่มสีเทาปกคลุมตลอด ภายในฝักแบ่งออกเป็นช่อง ๆ ตามขวาง เนื้อในฝักเป็นสีขาวปนเขียว มีเมล็ดประมาณ 30-40 เมล็ด ผลจะออกในช่วงเดียวกับการผลิดอก คือช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระยะเดียวกับการทิ้งใบทั้งหมดในช่วงต้นฤดูร้อน โดยช่อดอกจะออกแน่นเป็นกลุ่มติดอยู่ได้นานหลายวัน โดยจะทยอยบานประมาณ 3-4 สัปดาห์ และจะแก่ประมาณเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน

ฝักกัลปพฤกษ์

  • เมล็ดกัลปพฤกษ์ เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างกลม รูปไข่ รูปรี ถึงรูปขอบขนาน มีสีน้ำตาลเป็นมัน มีขนาดกว้างประมาณ 6-7 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 0.8-1.1 เซนติเมตร

เมล็ดกัลปพฤกษ์

สรรพคุณของกัลปพฤกษ์

  1. เปลือกฝักและเมล็ดมีรสขมเอียน ใช้เป็นยาลด ถ่ายพิษไข้ได้ดี (เปลือกฝัก, เมล็ด)
  2. เนื้อในฝักใช้แก้คูถ แก้เสมหะ (เนื้อในฝัก)
  3. ช่วยทำให้อาเจียน (เปลือกฝัก, เมล็ด)
  4. เนื้อในฝักมีรสหวานเอียนขม ใช้ปรุงเป็นยาระบายอ่อน ๆ ระบายอุจจาระธาตุ แก้พรรดึกได้โดยไม่ไซ้ท้อง ช่วยระบายท้องเด็กได้ดีมาก โดยให้ใช้ในขนาด 8 กรัม เหมาะสำหรับใช้ในเด็กเพราะไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงเหมือนยาระบายที่แรงกว่า (เนื้อในฝัก)

ประโยชน์ของกัลปพฤกษ์

  1. ในสมัยก่อนคนแก่จะใช้เนื้อในฝักกินกับหมาก
  2. ต้นกัลปพฤกษ์จัดเป็นไม้มงคลที่มีรูปทรงสวยงาม ให้ดอกสวย ออกดอกดกเต็มต้น มีสีชมพูอ่อนสดใสดูงดงามเหมือนดอกเชอร์รี่ อีกทั้งดอกกัลปพฤกษ์ก็มีทั้งสีชมพูและสีขาว จึงรวบรวบความงดงามของทั้งดอกเชอร์รี่และดอกแอปเปิ้ลไว้ในคราวเดียวกัน ในปัจจุบันนิยมจึงนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่จะปลูกไว้ประดับอาคารบ้านเรือน ปลูกในสวนสาธารณะ และริมถนนทั่วไป และสามารถทนดินเลวและอากาศแห้งได้เป็นอย่างดี
  3. สำหรับความเชื่อของคนไทยในอดีตเชื่อกันว่า ต้นกัลปพฤกษ์มีอยู่ในแดนสวรรค์ เปรียบเหมือนแก้วสารพัดนึก หากปรารถนาสิ่งใด จะไปขอเอาจากต้นไม้นี้ อีกทั้งต้นกัลปพฤกษ์ยังถือเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ มีโชคมีชัย โดยเชื่อกันว่าหากบ้านใดปลูกต้นกัลปพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้าน โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเป็นสิริมงคล ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต พบแต่ความสุขสมหวังทุกประการ หากผู้ปลูกเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือและเป็นผู้ประกอบคุณงามความดี ก็จะเป็นสิริมงคลยิ่งนัก
  4. คนไทยสมัยก่อนถือว่า กิ่งก้านจากต้นกัลปพฤกษ์เป็นไม้มงคล เหมาะสำหรับการนำไปทำด้ามธง ถือว่าทำให้เกิดสิริมงคลดีนัก
  5. เนื้อไม้มีความละเอียดและให้น้ำฝาด ที่สามารถนำไปใช้ฟอกหนังได้