• product
  • service2
  • กองทุน
  • coffee-banner
  • scb banner11

ข่าวประชาสัมพันธ์

สินค้าและโปรโมชั่น

มะเกลือ

มะเกลือ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นมะเกลือ

มะเกลือ

มะเกลือ ภาษาอังกฤษ Ebony tree

มะเกลือ ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros mollis Griff. จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)

สมุนไพรมะเกลือ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มักเกลือ (เขมร-ตราด), มักเกลือ หมักเกลือ มะเกลือ (ตราด), ผีเผา ผีผา (ฉาน-ภาคเหนือ), มะเกือ มะเกีย (ภาคเหนือ), เกลือ (ภาคใต้), มะเกลื้อ (ทั่วไป) เป็นต้น

ลักษณะของมะเกลือ

  • ต้นมะเกลือ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่าและไทย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 10-30 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่ม ลำต้นเปลา ที่โคนต้นมักขึ้นเป็นพูพอน ที่ผิวเปลือกเป็นรอยแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ตามยาว สีดำ เปลือกด้านในมีสีเหลือง ส่วนกระพี้มีสีขาว แก่นมีสีดำสนิท เนื้อมีความละเอียดเป็นมันสวยงาม ที่กิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นอยู่ประปราย โดยทุกส่วนของมะเกลือเมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ และต้นมะเกลือจะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด สามารถพบต้นมะเกลือได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ โดยต้นไม้ชนิดนี้จะพบได้มากในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร และอุดรธานี นอกจากนี้ต้นมะเกลือยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสุพรรณบุรีอีกด้วย
  • ใบมะเกลือ ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรี เรียงแบบสลับ โคนใบกลมหรือมน ปลายใบสอบเข้าหากัน ผิวใบเกลี้ยง ใบกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-10 เซนติเมตร ใบอ่อนจะมีขนปกคลุมอยู่ทั้งสองด้าน

ใบมะเกลือ

  • ดอกมะเกลือ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกเป็นแบบแยกเพศต่างต้นกัน ดอกตัวผู้จะมีขนาดเล็ด สีเหลืองอ่อน ในหนึ่งช่อจะมีอยู่ 3 ดอก ส่วนดอกตัวเมียจะเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะของดอกเหมือนกัน คือ กลีบรองดอกจะยาวประมาณ 0.1-0.2 เซนติเมตร ที่โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบดอกจะแยกเป็น 4 กลีบ มีสีเหลือง เรียงเวียนซ้อนทับกัน ที่กลางดอกจะมีเกสร

ดอกมะเกลือ

  • ผลมะเกลือ ลักษณะของผลกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง ส่วนผลแก่เป็นสีดำ ผลเมื่อแก่จัดจะแห้ง ที่ผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่บนผล 4 กลีบ ผลจะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ในผลมีเมล็ดแบนสีเหลืองประมาณ 4-5 เมล็ด มีขนาดกว้างประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

สมุนไพรมะเกลือ มีสรรพคุณในด้านการแพทย์ที่โดดเด่นมากที่สุดนั่นก็คือ การนำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้หลายชนิด เช่น พยาธิเส้นด้าย (Threadworm), พยาธิตัวกลม (Roundworm), พยาธิตัวตืด (Tapeworm), พยาธิปากขอ (Hookworm), พยาธิแส้ม้า (Whipworm) เป็นต้น (แต่ในปัจจุบันไม่นิยมนำมาใช้แล้ว) แถมยังมีราคาถูกและหาได้ทั่วไปตามชนบทอีกด้วย

สรรพคุณของมะเกลือ

  1. ช่วยแก้กระษัย (ลำต้น, เปลือกต้น, ราก, ทั้งต้น)
  2. ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร (เปลือกต้น)
  3. ช่วยแก้ตานซางขโมย (ลำต้น)
  4. ช่วยแก้พิษตานซาง (ผลสด, แก่น, เปลือกต้น, ราก, ทั้งต้น)
  5. ช่วยขับเสมหะ (เปลือกต้น, ทั้งต้น)
  6. ช่วยแก้ลม อาการหน้ามืด (ราก, แก่น)
  7. รากมะเกลือมีรสเบื่อเมา ใช้ฝนกับน้ำซาวข้าว ใช้รับประทานแก้ลม แก้อาเจียน (ราก)
  8. ช่วยแก้ฝีในท้อง (แก่น)
  9. ใบมะเกลือนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำผสมกับสุรา ใช้ดื่มแก้อาการตกเลือดภายหลังการคลอดบุตรของสตรี (ใบ)
  10. รากช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
  11. ช่วยแก้พิษตานซาง (เปลือกต้น, ราก)
  12. ลำต้นใช้ต้มกับน้ำอาบช่วยรักษาโรคดีซ่าน (ลำต้น)
  13. เปลือกต้นช่วยแก้พิษ (เปลือกต้น)
  14. ช่วยขับพยาธิ (ลำต้น, แก่น, เปลือกต้น, ราก, เมล็ด, ทั้งต้น)

มะเกลือขับพยาธิ

สมุนไพรไทยมะเกลือ มีสาร Diospyrol diglucoside ซึ่งช่วยกำจัดพยาธิ พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวกลม พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิปากขอ พยาธิตัวตืด พยาธิแส้ม้า (พยาธิสามัญทุกชนิด) ช่วยถ่ายตานซาง ถ่ายกระษัย โดยสารชนิดนี้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดี จึงไม่ถูกดูดซึมผ่านลำไส้ แต่จะถูกพยาธิเหล่านี้กินเข้าไปแทน และทำให้พยาธิตายในที่สุด

วิธีการใช้สมุนไพรมะเกลือขับพยาธิ ขั้นตอนแรกให้เลือกใช้ผลมะเกลือสดที่โตเต็มที่และเขียวจัด โดยใช้จำนวนผลเท่ากับอายุแต่ไม่เกิน 20-25 ผล เช่น หากอายุ 30 ปี ก็ให้ใช้เพียง 25 ผล หรือหากมีอายุ 20 ปี ก็ให้ใช้เพียง 20 ผล เป็นต้น นำผลสดที่ได้ล้างให้สะอาดแล้วมาโขลกพอแหลก แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาผสมกับหัวกะทิสด (กะทิจะช่วยกลบรสเฝื่อนได้ เพราะน้ำคั้นของมะเกลือมีรสเฝื่อนและกินได้ยากมาก) แล้วนำมาดื่มขณะท้องว่างก่อนอาหารเช้าทันที ห้ามทิ้งไว้เพราะจะทำให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีดำและมีพิษ และยังทำให้ฤทธิ์ในการถ่ายพยาธิลดน้อยลงด้วย หลังรับประทานไป 3 ชั่วโมงแล้ว หากยังไม่ถ่ายให้ใช้ยาถ่ายตาม หรือใช้ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะละลายน้ำดื่มตามลงไป (ผลสดสีเขียว)

ข้อควรระวังในการใช้มะเกลือขับพยาธิ

  • ผลมะเกลือ มีสาร "ไดออสไพรรอล" (Diospyrol) เป็นสารจำพวก "แนฟทาลีน" (Naphthalene) ที่เป็นพิษต่อประสาทตา หากรับประทานในปริมาณมากเกินไปจะทำให้สารดังกล่าวถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจนทำให้เกิดอาการอักเสบของเรตินาได้ โดยจะเกิดภายหลังจากการได้รับสารชนิดนี้เข้าไป 1-2 วัน จะทำให้การมองเห็นแย่ลง แม้จะใส่แว่นตาก็ไม่ดีขึ้น จนกระทั่งมองไม่เห็นเลย เพราะประสาทตาอักเสบอยู่นานจนทำให้ประสาทตาฝ่อ และมักจะเกิดต้อกระจกตามมาอีกด้วย หลังจากการอักเสบของเรตินา (แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดที่รับประทาน หากรับประทานมากอาการก็จะเกิดขึ้นเร็ว) เมื่อเกิดต้อกระจกแล้ว ก็จะเริ่มมีอาการขุ่นจากบริเวณขอบของเลนส์ในลูกตา แล้วค่อย ๆ ลามมาตรงกลาง จนเลนส์ตาขุ่นมัวทั้งหมด
  • ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์หรือสตรีหลังคลอดใหม่ ๆ หรือในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ รวมไปถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคอื่น ๆ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มีอาการขับถ่ายผิดปกติอยู่บ่อย ๆ มีอาการไข้ เป็นต้น
  • ควรเลือกใช้ลูกมะเกลือสดผลสีเขียวเท่านั้น ไม่ควรรับประทานผลมะเกลือสุกหรือผลมะเกลือสีดำในการถ่ายพยาธิโดยเด็ดขาด เพราะมีพิษอันตรายมาก อาจทำให้ตาบอดได้
  • สำหรับการใช้ผลมะเกลือเพื่อช่วยขับพยาธิ ห้ามใช้เกินกว่าขนาดที่แนะนำ
  • ควรบดยาด้วยการใช้ครกหินจะดีที่สุด
  • ห้ามใช้น้ำปูนใสในการผสมยา เพราะจะทำให้สารสำคัญสลายได้
  • การเตรียมยาแต่ละครั้งไม่ควรเตรียมไว้ในปริมาณมากเกินกว่าที่จะรับประทาน ควรเตรียมแบบสดใหม่และใช้กินทันทีเท่านั้นและห้ามเก็บหรือทิ้งค้างไว้ และไม่ควรนำมาต้มเพราะจะเกิดพิษ (หากปล่อยทิ้งไว้น้ำมะเกลือจะเปลี่ยนเป็นสีดำและเป็นพิษ)
  • หลังจากรับประทานหากมีอาการท้องเดินหลาย ๆ ครั้ง และมีอาการตามัวให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะถ้าปล่อยไว้นานเกินกว่า 24 ชั่วโมงและมีอาการรุนแรงมากเกินไปก็อาจจะถึงขั้นตาบอดถาวรได้
  • ผู้ที่รับประทานบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและท้องเสียได้ เพราะมะเกลือไประคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร เราต้องเข้าใจว่าพืชหรือยาทุกชนิดนั้นเป็นเสมือนดาบสองคม การใช้ผิดวิธีหรือแม้แต่ใช้อย่างถูกต้องก็อาจจะเกิดอันตรายได้ เนื่องจากบางคนมีความไวและการตอบสนองต่อฤทธิ์ยา เช่น บางคนแพ้ยาแก้แพ้ หรือบางคนรับประทานยากล่อมประสาทแต่กลับฝันร้าย เป็นต้น โปรดจำไว้ว่าสารใด ๆ ก็ตามที่มีประโยชน์ก็อาจมีโทษแฝงอยู่ด้วย ในการใช้มะเกลือขับพยาธิก็เช่นกัน ก็อาจเกิดอาการแพ้ได้ในบางคน แต่ถ้าหากเรารู้จักวิธีใช้อย่างถูกต้องและใช้อย่างระมัดระวัง ก็จะช่วยทำให้อันตรายที่เกิดจากพิษนั้นลดน้อยลงตามไปด้วย
  • สำหรับบางรายการอาจเกิดอาการแพ้ ทำให้เกิดอาการท้องเดินบ่อย ๆ มีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก มีอาการวิงเวียนศีรษะและอาเจียน มีอาการตามัว หากรุนแรงมากอาจถึงขั้นทำให้ตาบอดได้
  • ในปัจจุบันไม่มีการแนะนำให้ใช้ผลมะเกลือในการถ่ายพยาธิแล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยง เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยอย่างแน่นอนว่ามันจะแปรสภาพไปเป็นสารที่ทำให้ตาบอดได้มากน้อยเพียงใด และที่สำคัญโรคพยาธิต่าง ๆ ในปัจจุบันก็ลดน้อยลงอย่างมากหากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน แถมกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่แนะนำให้นำมาใช้เป็นยาถ่ายอีกด้วย และก็ไม่มีการนำมาใช้ในการถ่ายพยาธินานมากนับสิบปีแล้ว

ประโยชน์ของมะเกลือ

  1. ไม้มะเกลือ มีความละเอียดและแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ทำเครื่องเรือนได้เป็นอย่างดี หรือจะใช้ทำเป็นเครื่องดนตรี เครื่องประดับมุก เครื่องเขียน เฟอร์นิเจอร์ไม้มะเกลือ ตะเกียบก็ได้เช่นกัน
  2. เปลือกนำไปปิ้งไฟให้เหลือง ใช้ใส่ผสมรวมกับน้ำตาล นำไปหมัก ก็จะได้แอลกอฮอล์หรือที่เรียกว่าน้ำเมานั่นเอง
  3. เปลือกต้นมะเกลือใช้ทำเป็นยากันบูดได้
  4. มะเกลือประโยชน์ดีหายาก ! ผลมะเกลือมีสีดำ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมได้ ซึ่งสามารถนำมาใช้ย้อมผ้าหรือย้อมแห โดยจะให้สีดำ สีที่ได้จะเข้มและติดทนนาน (ผลสุก)
  5. สีดำที่ได้จากผลมะเกลือยังสามารถนำมาใช้ทาไม้ให้มีสีดำเป็นมันในการฝังมุกโต๊ะและเก้าอี้ ช่วยทำให้มีลวดลายสวยงามและเด่นมากขึ้น

ฟ้าทะลายโจร

สรรพคุณและประโยชน์ของฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร ชื่อสามัญ Kariyat

 

ฟ้าทะลายโจร ชื่อวิทยาศาสตร์ Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)

สมุนไพรฟ้าทะลายโจร (มักเขียนผิดเป็น ฟ้าทลายโจร, ฟ้าทะลายโจน) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ฟ้าทะลาย ฟ้าทะลายโจร น้ำลายพังพอน (กรุงเทพมหานคร), สามสิบดี เขตตายยายคลุม (ร้อยเอ็ด), หญ้ากันงู (สงขลา), ฟ้าสะท้าน (พัทลุง), เมฆทะลาย (ยะลา), ฟ้าสาง (พนัสนิคม), ขุนโจรห้าร้อย (ภาคกลาง), ซวนซิน เหลียง เจ็กเกี่ยงสี่ คีปังฮี โซ่วเซ่า (จีน) เป็นต้น

ลักษณะของฟ้าทะลายโจร

  • ต้นฟ้าทะลายโจร จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีความสูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร หรือประมาณ 1-2 ศอก ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม แตกกิ่งมาก ทุกส่วนของต้นมีรสขม กิ่งเป็นใบสีเหลี่ยม สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน

ฟ้าทลายโจร

ต้นฟ้าทะลายโจร

  • ใบฟ้าทะลายโจร ลักษณะเป็นใบเดี่ยว แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ลักษณะของใบรียาว ปลายใบแหลม
ใบฟ้าทะลายโจรรูปฟ้าทะลายโจร
  • ดอกฟ้าทะลายโจร ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งและตามซอกใบ ดอกมีขนาดเล็กสีขาว มีดอกย่อย กลีบดอกมีสีขาวโคนกลีบติดกัน ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากบนมี 3 กลีบ (มีเส้นสีม่วงแดงพาดอยู่) ส่วนปากล่างมี 2 กลีบ
  • ผลฟ้าทะลายโจร ลักษณะเป็นฝัก ฝักจะคล้ายกับฝักต้อยติ่ง (หรือเป๊าะแป๊ะ) ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่ฝักจะเป็นสีน้ำตาลและแตกได้ ภายในฝักมีเมล็ดสีน้ำตาลอ่อนจำนวนมากฃฃ
  • สมุนไพรฟ้าทะลายโจร มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ทางยาสมุนไพรอยู่ 3 สารด้วยกัน โดยเป็นสารในกลุ่ม Lactone ซึ่งก็คือ สารแอดโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide), สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (Neo-Andrographolide), และสาร 14-ดีอ๊อกซี่แอนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide) โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้แก่ ใบสด ใบแห้ง และทั้งต้น โดยใบจะเก็บมาใช้ได้เมื่อต้นมีอายุได้ราว 3-5 เดือน

สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร

  1. สรรพคุณฟ้าทะลายโจรช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้จับกินเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
  2. สรรพคุณฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  3. สรรพคุณฟ้าทะลายโจร ใบใช้เป็นยาขมช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)
  4. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ต้นฟ้าทะลายโจร กระชาย และว่านเอ็นเหลือง นำมาทำเป็นยาเม็ดลูกรับประทาน (ต้น)
  5. ช่วยป้องกันและแก้อาการหวัด คัดจมูก ด้วยการใช้ใบและกิ่งประมาณ 1 กำมือ (สดใช้ 25 กรัม แต่ถ้าแห้งใช้ 3 กรัม) นำมาต้มกับน้ำดื่ม รับประทานก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือในขณะที่มีอาการ (กิ่ง, ใบ)
  6. ช่วยแก้อาการปวดหัวตัวร้อน อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ ด้วยการใช้ใบและกิ่งประมาณ 1 กำมือ (สดใช้ 25 กรัม แต่ถ้าแห้งใช้ 3 กรัม) นำมาต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือในขณะที่มีอาการ (กิ่ง, ใบ)
  7. ฟ้าทะลายโจร สรรพคุณช่วยแก้ไข้ทั่ว ๆ ไป อาการปวดหัวตัวร้อน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น (ใบ, กิ่ง)
  8. ช่วยรักษาไข้ไทฟอยด์ ด้วยการรับประทานฟ้าทะลายโจรก่อนอาหารครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้กินยาบำรุงเพื่อฟื้นฟูกำลังของผู้ป่วยร่วมด้วย
  9. ช่วยแก้อาการไอ ลดน้ำมูก และช่วยฆ่าเชื้อที่จมูก ด้วยการใช้ใบนำมาทำเป็นยาผงแล้วนำมาใช้สูดดม (ใบ)
  10. ช่วยลดและขับเสมหะ ด้วยการใช้ใบนำมาทำเป็นยาผงแล้วนำมาใช้สูดดม (ใบ)
  11. ช่วยระงับอาการอักเสบ แก้อาการเจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ด้วยการใช้ใบนำมาทำเป็นยาผงแล้วนำมาใช้สูดดม (ใบ)
  12. ช่วยแก้อาการติดเชื้อ ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน เป็นบิด ด้วยการใช้ทั้งต้น (ส่วนทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร) นำมาผึ่งลมให้แห้งแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 กำมือ (น้ำหนักประมาณ 3-9 กรัม) แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มตลอดวัน (ทั้งต้น)
  13. ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ใบฟ้าทะลายโจรตากแห้ง 15 กรัมและเตยหอมสดหั่นแล้ว 15 กรัม นำมาต้มกับน้ำพอท่วมยาจนเดือด ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น จะช่วยทำให้อาการร้อนในดีขึ้น แต่ถ้าอยากให้หายขาด แนะนำว่าไม่ต้องดื่มน้ำหลังอาหารมากเกินไป รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และออกกำลังกายทุกวัน อาการร้อนในก็จะหายไปในที่สุด (ใบ)
  14. ฟ้าทะลายโจรมีรสขมมาก โดยความขมจะเหนี่ยวนำช่วยทำให้ขับน้ำลายออกมามากขึ้น จึงทำให้ชุ่มคอ
  15. ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ
  16. ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูก
  17. ฟ้าทะลายโจรมีส่วนช่วยลดการติดเชื้ออหิวาตกโรคในอุจจาระ แต่อาจจะไม่ดีเท่าการใช้ยาเตตราไซคลีนในการรักษา แต่ก็สามารถใช้ทดแทนได้
  18. ช่วยรักษากระเพาะลำไส้อักเสบ (ใบ)
  19. ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณช่วยในการย่อยอาหารและช่วยเร่งให้ตับสร้างน้ำดี
  20. ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวง ด้วยการรับประทานฟ้าทะลายโจรก่อนอาหารและก่อนนอนครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยทำให้อาการเลือดออกหรืออาการปวดถ่วงหายไป ทำให้ขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น
  21. ช่วยรักษาโรคตับ ด้วยการรับประทานฟ้าทะลายโจรก่อนอาหารวันละ 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง (และควรใช้ยาบำรุงชนิดอื่นด้วย)
  22. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ฝี แผลฝี ด้วยการใช้ใบค่อนข้างแก่ประมาณ 1 กำมือ แล้วเอาเกลือ 3 เม็ด นำมาตำผสมรวมกันในครกจนละเอียด แล้วเอาสุราครึ่งถ้วยชา น้ำครึ่งช้อนชาใส่รวมลงไป คนให้เข้ากันแล้วเทกินค่อนถ้วยชา ส่วนกากที่เหลือนำมาพอกแผลฝี แล้วใช้ผ้าสะอาดพักไว้ ตอนพอกเสร็จใหม่ ๆ อาจจะรู้สึกปวดบ้างเล็กน้อย (ใบ)
  23. ช่วยรักษาแผลอักเสบที่เกิดจากโรคเบาหวาน ด้วยการรับประทานเป็นยาฟ้าทะลายโจรแบบเม็ดและการใช้ทาเพื่อรักษาอาการ
  24. ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดหนองได้ (ใบ)
  25. ช่วยรักษาโรคงูสวัด ด้วยการรับประทานยาฟ้าทะลายโจรก่อนอาหาร 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ เนื่องจากงูสวัดคือเชื้อไวรัสที่จะอยู่นาน 3 สัปดาห์ ถ้าใช้รักษาให้ครบตามเวลา ก็จะทำให้ไม่กลับมาเป็นอีก

ประโยชน์ของฟ้าทะลายโจร

  • ช่วยแก้ปัญหาผมร่วง ด้วยการใช้ฟ้าทะลายโจรแคปซูล โดยใช้ครั้งละ 1 แคปซูลด้วยการนำผงดังกล่าวไปละลายในน้ำอุ่น แล้วนำมาชโลมให้ทั่วหนังศีรษะ ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก
  • ปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมาผลิตเป็น แคปซูลฟ้าทะลายโจร ซึ่งหาซื้อมารับประทานได้ง่ายและสะดวกในการรับประทานมากยิ่งขึ้น
 วิธีใช้ฟ้าทะลายโจร
  • ทำเป็นยาชง ด้วยการใช้ใบสดหรือใบแห้ง (ใบสดจะมีสรรพคุณที่ดีกว่า) ประมาณ 5-7 ใบ แล้วนำมาต้มกับน้ำเดือดลงจนเกือบเต็มแก้ว แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่ออุ่นแล้วก็นำมารินดื่ม โดยให้รับประทานก่อนอาหารและก่อนนอนครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง
  • ทำเป็นยาลูกกลอน หรือ ยาเม็ดฟ้าทะลายโจร ด้วยการใช้ใบสดนำมาล้างให้สะอาด แล้วผึ่งในที่ร่มที่มีลมโกรกให้แห้ง (ห้ามตากแดด) นำมาบดจนเป็นผงละเอียด แล้วนำมาปั้นผสมกับน้ำผึ้ง (หรือน้ำเชื่อมก็ได้เช่นกัน) ให้เป็นเม็ดขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเหลือง (หนักประมาณ 250 มิลลิกรัม) เมื่อปั้นเสร็จแล้วให้ผึ่งลมจนแห้ง (ถ้าไม่แห้งแล้วนำมารับประทานจะขมมาก) โดยรับประทานก่อนอาหารและก่อนนอนครั้งละ 4-10 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง
  • ทำเป็นยาแคปซูล ด้วยการใช้ผงยาที่ปั้นเป็นยาลูกกลอน ก็ให้นำมาใส่ในแคปซูล เพื่อที่จะช่วยกลบรสขมของยา ทำให้รับประทานได้ง่าย โดยขนาดแคปซูลที่ใช้คือ ขนาดเบอร์ 2 (250 มิลลิกรัม) ใช้รับประทานก่อนอาหารและก่อนนอนวันละ 3-4 แคปซูล วันละ 3-4 ครั้ง
  • ทำเป็นยาผงสำหรับใช้สูดดม โดยใช้ยาผงที่บดละเอียดนำมาใส่ขวด ปิดฝาเขย่าแล้วเปิดฝาออก ผงควันก็จะลอยออกมา ก็ให้สูดดมควันนั้นเข้าไป โดยผงยาจะติดที่คอช่วยทำให้ยาออกฤทธิ์ที่ลำคอโดยตรง จึงช่วยลดเสมหะ แก้อาการเจ็บคอ ช่วยลดน้ำมูก และช่วยฆ่าเชื้อในจมูกได้เป็นอย่างดี (ซึ่งวิธีนี้จะดีกว่าวิธีกวาดคอ วิธีเป่าคอ และวิธีการชง เพราะจะรู้สึกขมน้อย ไม่รู้สึกขยาดเวลาใช้ ใช้งานง่ายและสะดวก) โดยนำมาสูดดมบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ ครั้ง แต่ถ้ารู้สึกคลื่นไส้ให้หยุดใช้สักพัก เมื่อหายแล้วก็นำมาสูดใหม่จนกว่าอาการจะดีขึ้น
  • ทำเป็นยาดองเหล้า หรือทำเป็นยาทิงเจอร์ ด้วยการใช้ผงแห้งที่ได้นำมาแช่กับสุราโรง 40 ดีกรี (แต่ถ้าใช้แอลกอฮอล์ที่สามารถรับประทานได้ หรือ Ethyl alcohol ก็จะดีกว่าเหล้า) โดยแช่พอท่วมยาผงขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นปิดฝาขวดให้แน่น ทิ้งไว้ 7 วัน และให้เขย่าขวดทุก ๆ วัน วันละ 1 ครั้ง เมื่อครบตามกำหนดก็ให้กรองเอาแต่น้ำนำมาดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ (รสชาติจะขมมาก) วันละ 3-4 ครั้ง (ส่วนที่เหลือก็ให้เก็บไว้ในขวดที่สะอาดและปิดให้สนิท)

มะกล่ำตาช้าง

มะกล่ำตาช้าง

ชื่อไทย มะกล่ำตาช้าง
ชื่อสามัญ Red Sandalwood Tree, Coralwood Tree
ชื่อวิทยาศาสตร์ Adenanthera pavonina L.
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE
ชื่ออื่น มะกล่ำต้น มะกล่ำตาช้าง (ทั่วไป), มะแค้ก หมากแค้ก (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), มะแดง มะหัวแดงมะโหดแดง (ภาคเหนือ) , บนซี (สตูล), ไพเงินกล่ำ (นครศรีธรรมราช), ไพ (มลายู-ภาคใต้), มะกล่ำตาไก่ (ภาคเหนือ) 

สรรพคุณของมะกล่ำตาช้าง

  1. ใบมีรสฝาดเฝื่อน ใช้ต้มกินเป็นยาบำรุงกำลัง (ใบ)
  2. ใบใช้ต้มกินเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ใบ)
  3. เมล็ดนำมาฝนกับน้ำทาแก้อาการปวดศีรษะ หรือจะใช้เนื้อไม้ฝนกับน้ำทาขมับก็แก้ปวดศีรษะได้เช่นกัน (เนื้อ,เมล็ด)
  4. รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ร้อนใน (ราก)
  5. เนื้อไม้มีรสเฝื่อน ใช้ฝนกับน้ำกินกับน้ำอุ่นทำให้อาเจียนส่วนอีกข้อมูลระบุว่าใช้เนื้อไม้ต้มหรือฝนกินเป็นยาแก้อาเจียน (เนื้อไม้)
  6. ช่วยแก้อาเจียน (ราก)
  7. รากมีรสเปรี้ยวขื่นเย็น ใช้เป็นยาขับเสมหะ แก้เสมหะ กัดเสมหะในคอ (ราก)
  8. ช่วยแก้หืดไอ แก้เสียงแหบแห้ง และแก้อาการสะอึก (ราก)
  9. ช่วยแก้ลมในท้อง (ราก)
  10. เมล็ดมีรสเฝื่อนเมา นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดกิน แก้อาการจุกเสียด (เมล็ด)
  11. เนื้อในเมล็ดใช้ผสมกับยาอื่นเป็นยาระบายได้ (เนื้อในเมล็ด)
  12. ใบใช้ต้มกินเป็นยาแก้บิด แก้ท้องร่วง (ใบ)
  13. เนื้อในเมล็ด มีรสเมาเบื่อ นำมาบดเป็นผงแล้วปั้นเป็นมัด ใช้กินเป็นยาขับพยาธิไส้เดือน และพยาธิเส้นด้าย หรือจะใช้เมล็ดคั่วไฟเอาเปลือกหุ้มสีแดงออก แล้วนำมาบดเป็นผงผสมกับยาระบาย ใช้เป็นยาขับพยาธิ เบื่อพยาธิไส้เดือน หรือพยาธิตัวตืด (เมล็ด)
  14. เมล็ดนำมาบดผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นเม็ด ใช้กินเป็นยาแก้หนองใน (เมล็ด)
  15. เมล็ดและใบมีรสเฝื่อนเมา สรรพคุณเป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก (เมล็ดและใบ)
  16. ใช้เป็นยาฝาดสมาน (ใบ)
  17. เมล็ดนำมาบดให้เป็นผงใช้โรยใส่แผลฝีหนอง ช่วยดับพิษฝี ดับพิษบาดแผล (เมล็ด)
  18. เมล็ดนำมาฝนกับน้ำทาแก้อักเสบ (เมล็ด) ส่วนรากมีสรรพคุณช่วยถอนพิษฝี (ราก)
  19. ใบนำมาต้มกินแก้โรคปวดข้อ แก้ลมเข้าข้อ (ใบ)

ไพลเหลือง

ไพลเหลือง สรรพคุณและประโยชน์ของไพล

ไพล

ไพล หรือ ว่านไพล ชื่อสามัญ Phlai, Cassumunar ginger, Bengal root

ไพล ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber montanum (J.Koenig) Link ex A.Dietr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Zingiber cassumunar Roxb., Zingiber purpureum Roscoe) จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)

สมุนไพรไพล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ปูขมิ้น มิ้นสะล่าง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), ว่านไฟ ไพลเหลือง (ภาคกลาง), ปูเลย ปูลอย (ภาคเหนือ), ว่านปอบ (ภาคอีสาน) เป็นต้น

ลักษณะของไพล

  • ต้นไพล ลักษณะไพลเป็นไม้ล้มลุกมีความสูงประมาณ 0.7-1.5 เมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลือกมีสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อด้านในมีสีเหลืองถึงสีเหลืองแกมเขียว แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ โดยจะประกอบไปด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกันอยู่ เหง้าไพลสดฉ่ำน้ำ รสฝาด เอียด ร้อนซ่า มีกลิ่นเฉพาะ ส่วนเหง้าไพลแก่สดและแห้งจะมีรสเผ็ดเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด แง่ง หรือเหง้า แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ส่วนของเหง้าเป็นท่อนพันธุ์ในการเพาะปลูก พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียแถบประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ปลูกกันมากในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี และสระแก้ว

ต้นไพล

  • ใบไพล ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้างประมาณ 3.5-5.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 18-35 เซนติเมตร
  • ดอกไพล ออกดอกเป็นช่อ แทงจากเหง้าใต้ดิน กลีบดอกมีสีนวล มีใบประดับสีม่วง
รูปไพลดอกไพล
  • ผลไพล ลักษณะของผลเป็นผลแห้งรูปกลม

สรรพคุณของไพล

  1. ว่านไพลดอกไพล สรรพคุณช่วยขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย กระจายเลือดที่เป็นลิ่มเป็นก้อน (ดอก)
  2. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ต้นไพล)
  3. สรรพคุณสมุนไพรไพล ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
  4. ช่วยแก้อาเจียน อาการอาเจียนเป็นโลหิต (หัวไพล)
  5. ช่วยแก้อาการปวดฟัน (หัวไพล)
  6. ไพลกับสรรพคุณทางยา เหง้าช่วยขับโลหิต (เหง้า)
  7. ช่วยแก้เลือดกำเดาไหลออกทางจมูก (ราก)
  8. ช่วยรักษาโรคที่บังเกิดแต่โลหิตออกทางปากและจมูก (เหง้า)
  9. เหง้าไพล ใช้เป็นยารักษาหอบหืด ด้วยการใช้เหง้าแห้ง 5 ส่วน / ดีปลี 2 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน / กานพลู 1/2 ส่วน / พิมเสน 1/2 ส่วน นำมาบดผสมรวมกัน ใช้ผงยา 1 ช้อนชาชงกับน้ำร้อนแล้วรับประทาน หรือจะปั้นเป็นยาลูกกลอนด้วยการใช้น้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วรับประทานครั้งละ 2 ลูก โดยต้องรับประทานติดต่อกันเรื่อย ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหง้าแห้ง)
  10. ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องขึ้น ท้องเดิน ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้เหง้าแห้งนำมาบดเป็นผงแล้วรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ด้วยการนำมาชงกับน้ำร้อนและผสมเกลือด้วยเล็กน้อยแล้วนำมาดื่ม (เหง้าแห้ง)
  11. ช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย แก้บิด บิดเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 4-5 แว่น นำมาตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนชาแล้วนำมารับประทาน หรือจะฝนกับน้ำปูนใสรับประทานก็ได้เช่นกัน (เหง้าสด)
  12. ช่วยแก้อาการท้องผูก (เหง้า)
  13. ช่วยสมานแผลในลำไส้ แก้ลำไส้อักเสบ (เหง้า)
  14. ช่วยแก้อุจจาระพิการ (ต้นไพล)
  15. ช่วยขับระดู ประจำเดือนของสตรี ขับเลือดร้ายทั้งหลาย และแก้มุตกิดระดูขาว (หัวไพล, เหง้า)
  16. ช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ (เหง้า)
  17. ช่วยรักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลง ด้วยการใช้หัวไพลนำมาฝนแล้วทาบริเวณที่มีอาการฟกช้ำบวมหรือเคล็ดขัดยอก / หรือจะใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด) ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลง ด้วยการใช้เหง้า 1 เหง้า นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทานวดบริเวณที่มีอาการ / หรือจะนำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเกลือเล็กน้อย นำมาห่อเป็นลูกประคบ แล้วอังไอน้ำให้ความร้อน นำมาใช้ประคบบริเวณที่มีอาการฟกช้ำบวมและบริเวณที่ปวดเมื่อย เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย / หรือจะใช้ทำเป็นน้ำมันไพล ด้วยการใช้ไพลหนัก 2 กิโลกรัม นำมาทอดในน้ำมันพืชร้อน ๆ 1 กิโลกรัม ให้ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพลออก และใส่กานพลูผงประมาณ 4 ช้อนชา และทอดต่อไปด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 10 นาที เสร็จแล้วนำมากรองรอจนน้ำมันอุ่น ๆ และใส่การบูรลงไป 4 ช้อนชา ใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด รอจนเย็นแล้วจึงเขย่าการบูรให้ละลาย แล้วนำน้ำมันไพลมาทาถูนวดวันละ 2 ครั้งเวลามีอาการปวด เช้า-เย็น (สูตรของคุณวิบูลย์ เข็มเฉลิม) (เหง้า, หัว)
  18. ช่วยลดอาการอักเสบ แก้ปวด บวม เส้นตึง เมื่อยขบ (เหง้า)
  19. ช่วยแก้เมื่อย แก้อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามร่างกาย (ใบ)
  20. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (เหง้า)
  21. พล สรรพคุณของเหง้าช่วยรักษาฝี (เหง้า)
  22. ช่วยดูดหนอง (เหง้า)
  23. ช่วยแก้ผดผื่นคัน ด้วยการใช้เหง้านำมาบดทำเป็นผงผสมกับน้ำ หรือจะใช้เหง้าสดนำมาล้างให้สะอาด ฝนแล้วทาบริเวณที่เป็นก็ได้เช่นกัน (เหง้า)
  24. เหง้าใช้ทาเคลือบแผลเพื่อป้องกันอาการติดเชื้อได้ (เหง้า)
  25. ช่วยแก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัว (ใบ)
  26. ช่วยรักษาโรคเหน็บชา (เหง้า)
  27. ใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ (เหง้า)
  28. ใช้เป็นยาสมานแผล ด้วยการใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด)
  29. เหง้าใช้เป็นยาแก้เล็บถอด ด้วยการใช้เหง้าสด 1 แง่ง (ขนาดเท่าหัวแม่มือ) นำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเกลือและการบูร อย่างละครึ่งช้อนชา แล้วนำมาใช้พอกบริเวณที่เป็นหนอง โดยควรเปลี่ยนยาที่ใช้พอกวันละ 1 ครั้ง (เหง้าสด)
  30. เหง้าไพลสามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำอาบหลังคลอดของสตรีได้ (เหง้า)
  31. เหง้าของไพลมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจากการทดลองพบว่ามันมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบได้ (เหง้า)
  32. ไพลมีฤทธิ์ช่วยคล้ายกล้ามเนื้อเรียบ ช่วยลดการบีบตัวของมดลูกและลำไส้ รวมไปถึงกระเพาะอาหารในหนูทดลอง
  33. ไพลมีฤทธิ์ในการช่วยต้านเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และเชื้อแบคทีเรีย
  34. ไพลมีฤทธิ์ช่วยต้านฮีสตามีนในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหอบหืด โดยสามารถช่วยลดขนาดของตุ่มนูนจากการฉีดน้ำยาฮีสตามีนเข้าใต้ผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังช่วยทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการหอบเกิดอาการหอบน้อยลง การทำงานของปอดทำงานได้ดีขึ้น
  35. เหง้าไพลจัดอยู่ในตำรับยา "ยาประสะกานพลู" ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อยเนื่องจากธาตุ
  36. เหง้าไพลจัดอยู่ในตำรับยา "ยาประสะไพล" ซึ่งมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อยกว่าปกติ และช่วยขับน้ำคาวปลาในสตรีหลังคลอดบุตร

  • การรับประทานในขนาดสูงหรือการใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้ และยังไม่มีความปลอดภัยที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืด และไม่ควรนำมารับประทานแบบเดี่ยว ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน นอกจากจะมีการขจัดสารที่พิษต่อตับออกไปเสียก่อน
  • การใช้ครีมไพลห้ามใช้ทาบริเวณขอบตา เนื้อเยื่ออ่อน และบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผลหรือมีแผลเปิด
  • ไม่แนะนำให้ใช้สมุนไพรชนิดนี้กับสตรีมีครรภ์ หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตรและเด็กเล็ก

ประโยชน์ของไพล

  1. ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื่น ด้วยการใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด)
  2. ประโยชน์ไพลช่วยไล่แมลง ฆ่าแมลง (เหง้า)
  3. ช่วยกันยุงและไล่ยุง น้ำมันจากหัวไพลผสมกับแอลกอฮอล์นำมาใช้ทาผิวสามารถช่วยกันยุงและไล่ยุงได้ (หัวไพล)
  4. สามารถนำมาทำเป็น ครีมไพลน้ำมันไพลไพลผงไพลขัดผิวไพลทาหน้าได้

ไพลกับความงาม

  1. หัวไพลไพลขัดผิว เหง้าสามารถนำมาใช้ทำเป็นแป้งไว้สำหรับขัดผิวได้ โดยจะช่วยทำให้ผิวดูผุดผ่อง ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและไม่ทำให้เกิดสิว ซึ่งวิธีการทำไพลขัดผิว ก็ให้นำเหง้าไพลมาหั่นแบบหยาบ ๆ ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในโถปั่น แล้วตามด้วยดินสอพอง 3 ถ้วยตวง นำมาทุบให้พอแตกแล้วใส่ลงไปในเครื่องปั่นและปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นให้เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยตวง และปั่นให้เข้ากันอีกครั้ง เมื่อได้ครีมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วให้นำมาปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิทเก็บไว้ใส่ขวด ก็จะได้แป้งไพลที่สามารถนำมาใช้ขัดผิวได้แล้ว ซึ่งวิธีการใช้ก็นำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำมาพอกบริเวณผิวทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วค่อยล้างออก
  2. ไพลทาหน้าหรือการพอกหน้าด้วยไพล ด้วยการใช้แป้งไพลจำนวน 2-3 ก้อนนำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำมาพอกหน้าก่อนเข้านอน ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนนุ่ม ในสูตรสามารถเติมนมสดหรือโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนชาลงไปด้วยก็ได้